เสียงเก้าอี้โยกที่อ่อนโยนกำลังแกว่งไปแกว่งมาตรงระเบียง
แสงแดดอ่อนๆของปลายฤดูใบไม้ร่วงส่องผ่านมายังด้านบนของต้นไซเปรส แสงที่ทะลุผ่านใบไม้เหล่านั้นได้สะท้อนลงไปยังทะเลสาบที่อยู่ห่างไกล
แก้มของเธออยู่บนอกของผมขณะที่เธอกำลังสูดอากาศหายใจอยู่เบาๆ เธอก็เผลอหลับไป
ช่วงเวลาอันมีค่าที่แสนสงบกำลังไหลผ่านไปเรื่อยๆ
กระต็อก กระแต็ก
ผมโยกเก้าอี้และลูบผมสีเกาลัดของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล แม้ว่าเธอจะหลับไปแล้วแต่ก็มีรอยยิ้มจางๆปรากฏบนริมฝีปากของเธอ
กลุ่มของพวก Sprites(เหมือนกับพวก fairy อ่ะ) เล่นอยู่บนสนามหญ้าข้างหน้า สตูว์เนื้อในห้องครัวก็เต็มไปด้วยเสียงเดือดปุดๆ ผมปรารถนาอย่างอ่อนโยนในโลกแห่งนี้ ในบ้านหลังเล็กที่อยู่ในใจกลางของป่า ให้ดำเนินเช่นนี้ต่อไป แต่ผมรู้ว่านี่คือความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้
กระต็อก กระแต็ก
เสียงขาของเก้าอี้ยังคงดำเนินต่อไป เวลาผ่านไปได้หนึ่งนาฬิกาทราย
ผมพยายามที่จะดึงแก้มของเธอให้ใกล้ชิดกับหน้าอกผมมากกว่านี้ ถ้าผมต่อต้านชะตากรรมได้
อย่างไรก็แขนของผมนั้นทำได้เพียงแค่โอบกอดอากาศที่เบาบางเท่านั้ัน
ผมรีบเปิดตาขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ ร่างกายของเธอที่พิงร่างกายผมเมื่อ 2 วินาทีที่แล้วได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองไปยังรอบๆ
เหมือนกับว่าฉากทุกอย่างกำลังหายไปสีของดวงอาทิย์นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านและผนังต่างๆเริ่มแตกเป็นชิ้นและหาวไปราวกับว่าพวกมันทำขึ้นมาจากกระดาษ มีเพียงเก้าอี้และตัวผมเท่านั้นที่ยังตกอยู่ในความมืด แม้ว่าเก้าอี้ตัวนั้นจะไม่มีใครนั่งก็ตาม มันยังคงแกว่งไปแกว่งมาเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
กระต็อก กระแต็ก
กระต็อก กระแต็ก
ผมปิดตาของผมลงและอุดหูของตัวเอง พยายามที่จะรวบแรงทั้งหมดเพื่อที่จะเรียกชื่อของเธอ
ตาของผมเปิดกว้างอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงที่ดังลั่น ผมไม่รู้ว่าที่ผมตะโกนออกไปนั้นเป็นเพียงความฝันหรือเป็นเรื่องจริง
ผมโน้มตัวลงไปบนเตียง หลับตาแล้วก็พายยามกลับไปยังจุดเริ่มต้นของความฝันอีกครั้ง และไม่นานผมก็ตื่นขึ้นและผมก็พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง
ป้ายที่เป็นแผ่นไม้บางๆอยู่ข้างหน้าผมมีชื่อผมติดอยู่บนผนังห้องสีขาวของโรงพยาบาล ผมนอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆ มันคงทำมาจากเจลชนิดหนึ่ง
นั่นคือผม คิริกายะ คาซือโตะ ในโลกแห่งความจริง
ผมพยายามยกร่างกายขึ้น และมองไปรอบๆตัวผม ห้อง 6- ห้องเสื่อ สีของของเป็นสีของไม้ธรรมชาติ เท่าที่พบในห้องนี้มีเพียงเฟอร์นิเจอร์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น คอมพิวเตอร์ฮาร์ดไดรฟ์, เราเตอร์และเตียงผมกำลังนั่งอยู่
Heargear เก่าๆที่ตั้งอยู่บนตรงกลางเครื่องเราท์เตอร์แบบตั้ง
ชื่อของมันคือ «Nerve Gear» รูปแบบ VR full drive สิ่งนั้นมันทำให้ผมถูกกักขังอยู่ในโลกเสมือนเป็นเวลาถึง 2 ปี หลังจากที่ได้สู้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากมันมาได้ซักที ในที่สุดก็ได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส ในโลกแห่งความเป็นจริงซักที
ใช่ ผมกลับมาแล้ว
แต่ผู้หญิงที่เหวี่ยงดาบของเธอด้วยหัวใจของเธอพร้อมกับผมนั้น...
ผมทุบหน้าอกตัวเองและผมก็แบนสายตาออกจาก Nerve Gear แล้วก็ลุกขึ้นยืน ผมเหลือบตามองไปกระจกที่แขวนอยู่ตรงด้านหลัง แผนผัง EL ที่อยู่ตรงผนังแสดงวันและเวลาของปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
อาทิตย์ที่ 19 มกราคม ปี 2025 เวลา 07:15 น.
สองเดือนผ่านไปแล้วตั้งแต่ผมกลับมายังโลกแห่งความจริง แต่ผมก็ยังไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ แม้ว่านักดาบคิริโตะและคิริกายะ คาซือโตะในปัจจุบันควรมีทุกๆอย่างที่เหมือนกัน ผมสูญเสียน้ำหนักไปแถมยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ ดังนั้นร่างกายแหละกระดูกของผมตอนนี้นั้นอ่อนแอมาก
ผมสังเกตุน้ำตา 2 หยดที่ไหลออกมาเป็นเส้นสะท้อนแสงออกมาบนกระจก และเช็ดออกด้วยมือข้างขวาของผม
"ผมกลายเป็นคนขี้แงโดยสมบูรณ์แล้ว... อาซึนะ"
ผมพึมพำและเดินไปที่หน้าต่างที่มีขนาดใหญ่ทางด้านทิศใต้ของห้องที่ผมพัก ผมเปิดม่านด้วยมือทั้งสองและแสงแดดเจิดจ้าของเช้าฤดูหนาวย้อมภายในห้องของผมให้กลายเป็นสีเหลืองอ่อน
ตาของผมเปิดกว้างอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงที่ดังลั่น ผมไม่รู้ว่าที่ผมตะโกนออกไปนั้นเป็นเพียงความฝันหรือเป็นเรื่องจริง
ผมโน้มตัวลงไปบนเตียง หลับตาแล้วก็พายยามกลับไปยังจุดเริ่มต้นของความฝันอีกครั้ง และไม่นานผมก็ตื่นขึ้นและผมก็พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง
ป้ายที่เป็นแผ่นไม้บางๆอยู่ข้างหน้าผมมีชื่อผมติดอยู่บนผนังห้องสีขาวของโรงพยาบาล ผมนอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆ มันคงทำมาจากเจลชนิดหนึ่ง
นั่นคือผม คิริกายะ คาซือโตะ ในโลกแห่งความจริง
ผมพยายามยกร่างกายขึ้น และมองไปรอบๆตัวผม ห้อง 6- ห้องเสื่อ สีของของเป็นสีของไม้ธรรมชาติ เท่าที่พบในห้องนี้มีเพียงเฟอร์นิเจอร์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น คอมพิวเตอร์ฮาร์ดไดรฟ์, เราเตอร์และเตียงผมกำลังนั่งอยู่
Heargear เก่าๆที่ตั้งอยู่บนตรงกลางเครื่องเราท์เตอร์แบบตั้ง
ชื่อของมันคือ «Nerve Gear» รูปแบบ VR full drive สิ่งนั้นมันทำให้ผมถูกกักขังอยู่ในโลกเสมือนเป็นเวลาถึง 2 ปี หลังจากที่ได้สู้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากมันมาได้ซักที ในที่สุดก็ได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส ในโลกแห่งความเป็นจริงซักที
ใช่ ผมกลับมาแล้ว
แต่ผู้หญิงที่เหวี่ยงดาบของเธอด้วยหัวใจของเธอพร้อมกับผมนั้น...
ผมทุบหน้าอกตัวเองและผมก็แบนสายตาออกจาก Nerve Gear แล้วก็ลุกขึ้นยืน ผมเหลือบตามองไปกระจกที่แขวนอยู่ตรงด้านหลัง แผนผัง EL ที่อยู่ตรงผนังแสดงวันและเวลาของปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
อาทิตย์ที่ 19 มกราคม ปี 2025 เวลา 07:15 น.
สองเดือนผ่านไปแล้วตั้งแต่ผมกลับมายังโลกแห่งความจริง แต่ผมก็ยังไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ แม้ว่านักดาบคิริโตะและคิริกายะ คาซือโตะในปัจจุบันควรมีทุกๆอย่างที่เหมือนกัน ผมสูญเสียน้ำหนักไปแถมยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ ดังนั้นร่างกายแหละกระดูกของผมตอนนี้นั้นอ่อนแอมาก
ผมสังเกตุน้ำตา 2 หยดที่ไหลออกมาเป็นเส้นสะท้อนแสงออกมาบนกระจก และเช็ดออกด้วยมือข้างขวาของผม
"ผมกลายเป็นคนขี้แงโดยสมบูรณ์แล้ว... อาซึนะ"
ผมพึมพำและเดินไปที่หน้าต่างที่มีขนาดใหญ่ทางด้านทิศใต้ของห้องที่ผมพัก ผมเปิดม่านด้วยมือทั้งสองและแสงแดดเจิดจ้าของเช้าฤดูหนาวย้อมภายในห้องของผมให้กลายเป็นสีเหลืองอ่อน
***
คิริกายะ ซูกูฮะ เธอตอนนี้ดูมีความสุขจริงๆ เธอกำลังวิ่งข้ามลานน้ำแข็ง และเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
หิมะที่ตกลงมาเมื่อ 2 วันที่แล้ว ยังไม่ละลายอย่างสมบูรณ์ และเช้ากลางกลางเดือนมกราคมนั้นนั้นมีสภาพอากาศที่เย็นมาก
เธอหยุดอยู่ตรงขอบของบ่อน้ำซึ่งถูกปกครองด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ และตั้งดาบไม้เคนโด้ที่อยู่ในมือข้างขวาของเธอลงไว้ตรงลำต้นของต้นไม้ที่ใกล้กับต้นสนดำ เพื่อที่จะขับความง่วงของเธอออกไป เธอได้หายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็นำมือทั้ง 2 วางไว้บนเข่า แล้วก็เริ่มวอมอัพแบบยืดร่างกาย
กล้ามเนื้อของเธอที่ยังตื่นไม่เต็มที่ก็เริ่มคลายลงอย่างช้าๆ ตอนแรกก็ที่หัวเข่าการไหลเวียนเลือดที่เริ่มข้อเท้าและน่องของเธอ
ซูกูฮะโน้มตัวลงไปจนสุดพอจากนั้นก็ค่อยๆโน้มกลับมาเป็นอย่างเดิมจากนั้นเธอก็หยุดทันที น้ำแข็งที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่ทะเลสาบนั้นทำให้มันสะท้อนเงาของภาพตัวเธอออกมา
เธอมีผมสั้นผมม้าของเธอนั้นยาวมาถึงคิ้วทั้งสองข้างของเธอ ส่วนผมด้านหลังก็ยาวมาถึงไหล่ สีผมของเธอนั้นเป็นสีดำ ภาพที่สะท้อนเธอนั้นสะท้อนมาพร้อมกับท้องฟ้าสีฟ้าคราม คิ้วของเธอนั้นดำสนิดเหมือนสีของน้ำหมึกสีดำและหนามาก ขณะที่ดวงตาของเธอนั้นบ่งบอกถึงลักษณะความพยายามที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด ยังไงก็ตามตามในเงาสะท้อนนั้นเธอมีลักษณะเหมือนจะเป็นเด็ก เธอสวมชุดโดกิสีขาวและก็ใส่ฮากามะสีดำทับ(ชุดโดกิคือชุดสำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่น ส่วนฮากามะคือชุดดั้งเดิมของญี่ปุ่น) เธอสวมเพื่อแค่ให้สะดวกสบายสำหรับการฝึก
--ขณะที่ฉันคิด... ฉันไม่เหมือน... พี่ชายของฉัน...
มันมีความคิดมากมายต่างๆนาๆอยู่ในหัวใจของเธอในวันนี้ เธอคิดว่าทุกเช้าเวลานี้เธอเห็นกระจกที่ปากทางเข้าห้องน้ำ มันไม่ใช่เธอไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาเธอที่เธอเป็นอยู่ เธอไม่ได้ใส่ใจในการดูแลมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แต่นับตั้งแต่ที่พี่ชายของเธอคาซือโตะกลับมาที่บ้าน ภายในจิตใต้สำนึกของเธอเริ่มมีการเปรียบเทียบ
--ไม่ได้ อย่าไปคิดมากเกี่ยวมันเรื่องนี้
เธอส่ายหัวของเธอ แล้วก็กลับมายืดตัวต่อ
หลังจากที่เธอยืดร่างกายเสร็จแล้ว เธอก็ไปหยิบดาบไม้เคนโด้ของเธอที่อยู่ใกล้กับต้นสนสีดำ เธอจับมันแล้วรู้สึกถึงความคุ้นเคยในฝ่ามือของเธอที่ได้ใช้มันมาอย่างยาวนาน เธอยืดหลังของเธอและทำทางจับดาบแบบเคนโด้
เธอใจขึ้นลึกๆขณะที่รักษาท่าทางเดิม หลังจากนั้นเธอก็ยกดาบไม้ขึ้นแล้วเหวี่ยงลงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง การเคลื่อนไหวของเธอดูกระตือรือร้นดูเหมือนว่าเธอจะตัดอากาศตอนเช้า นกกระจอกจำนวนมากตกใจและบินกระจัดกระจายออกไป
บ้านของครอบครัวคิริกายะนั้นเป็นบ้านญี่ปุ่นแบบเก่าติดกับถนนที่เก่าแก่ที่อยู่ทางใต้ของไซตามะ ครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้นทั้งหมดได้อาศัยอยู่ที่นี่กับปู่ซูกูฮะ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนเขาเป็นคนที่เข้มงวดมากและล้าสมัย
ท่านทำงานที่กรมตำรวจเป็นเวลาหลายปีและสมัยท่านยังหนุ่มๆนั้นท่านยังเป็นนักเคนโด้ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ท่านฝากความหวังลูกชายคนเดียวนั่นก็คือพ่อของซูกูฮะที่จะเดินเส้นตาเดียวกับคุณตา เขาจับดาบเคนโด้จนกระทั่งเขาก็ได้เข้าเรียนโรงเรียน ม.ปลาย แต่เขาก็ก็ได้ยอมแพ้กับมัน เพื่อที่จะมุ่งเน้นเรื่องการเรียนในระดับที่สูงขึ้นที่อเมริกา และก็ได้งานที่นั่นเป็น บริษัทหลักทรัพย์ทางการเงินขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกกำหนดให้อยู่ที่สาขาญี่ปุ่นชั่วคราว แล้วเขาก็ได้พบมิโดริและก็ก็ได้แต่งงานกับเธอ แต่ก็ต้องมีชีวิตที่ต้องเดินทางเป็นประจำในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ในเวลานั้นคุณตาได้เปลี่ยนเส้นทางของเขามาหวังพึ่งให้กับซูกูฮะและคิริโตะตอนอายุได้เพียง 1 ขวบ
ซูกูฮะและพี่ชายของเธอถูกปั้นฝีมือการเล่นเคนโด้ที่สำนักในระหว่างที่พวกเขากำลังเรียนประถมอยู่ แต่เพราะอิทธิพลจากแม่ของเธอที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารระบบคอมพิวเตอร์ พี่ชายของเธอนั้นรักคีย์บอร์ดมากกว่าดาบไม้เคนโด้ และออกจากสำนักภายใน 2 ถัดมา อย่างไรก็ตามซูกูฮะไม่ได้เหมือนพี่ชายของเธอ เธอพบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอกับเคนโด้ และเริ่มเข้าใจในตัวดาบไม้หลังจากที่คุณตาของเธอได้เสียชีวิต
ตอนนี้เธออายุ 15 ปี ปีที่แล้วเธอก้าวไปไกลได้พอสมควรเธอสามารถเป็นแชมป์เปี้ยนอันดับ 1 ของมัธยมระดับประเทศ โดยตอนฤดูใบไม้ร่วงนั้นเธอถูกคัดเลือกโดยหนึ่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด
แต่ว่า--
ในอดีตนั้นเธอไม่เคยสูญเสียความตั้งใจที่เดินต่อไปข้างหน้า เธอชอบเคนโด้จริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นความคาดหวังต่างๆของคนรอบข้างของเธอนั้นมันทำให้เธอมีความสุข
แต่ว่าสองปีต่อมาพี่ชายของเธอได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์สะเทียนขวัญคนทั้งญี่ปุ่น ทำให้ภายในหัวใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย อาจกล่าวได้ว่าเธอเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ที่พี่ชายเธอเลิกเล่นเคนโด้ตอนที่เธออายุ 7 ขวบ ทำให้เกิดว่างระหว่างพวกเขา 2 คน เธอเสียใจเป็นอย่างมากและไม่เคยทำให้ช่องว่างนั้นใกล้ชิดขึ้นมาเลย
พี่ชายของเธอที่ทิ้งดาบเคนโด้ไปได้หมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ทุกวัน มันเป็นเป็นสิ่งที่ช่วยความกระหายของเขา เขาสร้างเครื่องจักรกลหลายๆอย่างขึ้นมาด้วยชิ้นส่วนต่างๆ และช่วยเลหือแม่ของเธอในเรื่องโปรแกรมตอนที่เขากำลังเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา สำหรับเธอนั้นสิ่งต่างๆที่เขาได้พูดคุยนั้นเหมือนพูดกันคนละภาษา
ที่โรงเรียนนั้นได้สอนหลักสูตรคอมพิวเตอร์ให้เธอนิดหน่อย และเธอก็มีคอมพิวเตอร์เล็กๆเครื่องหนึ่งอยู่ในห้องของเธอ แต่ด้วยความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ของเธอที่มีอยู่อย่างจำกัดเธอใช้เพียงแค่เพื่อรับ-ส่ง E-mail และท่องเว็บไซค์ต่างๆ มันยากที่จะเข้าใจในโลกส่วนตัวของพี่ชายเธอ โดยเฉพาะในเรื่องเกมออนไลน์แนว RPG ที่พี่ชายเธอติดมันเป็นอย่างมาก เธอค่อนข้างที่จะรู้สึกรังเกียจมัน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเธอได้ทำตัวแบบที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่เธอก็ได้พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าที่จะเข้าหาคนอื่นได้โดยใช้ตัวตนแบบปลอมๆ
นับตั้งแต่สมัยวัยเด็กนั้นเธอและพี่ชายของเธอได้แสดงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันทำให้พวกขเาเป็นเพื่อนสนิดที่ดีต่อกัน แต่พี่ชายของเธอก็ได้ไปอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ซูกูฉะก็ได้เล่นเคนโด้เหงาๆอยู่ตัวคนเดียวด้วยความบริสุทธิ์ใจ ระยะห่างของพวกเขายังคงขยายตัวขึ้นและการสนทนาในชีวิตประจำวันของพวกเขาก็แทบจะไม่มี กว่าซูกูฮะจะรู้สึกตัวความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนทั่วไปคนหนึ่ง
แต่ความจริงนั้นเธออยากจะบอกว่าเธอเหงา เธออยากจะคุยกับพี่ชายให้มากขึ้น เธออยากจะเข้าใจโลกของพี่ อยากให้พี่ชายของเธอมาและดูการแข่งขันของเธอ
อย่างไรก็ตามเธอได้แสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกไปตอนที่ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น
เหตุการณที่เหมือนกับฝันร้ายนี้ชื่อว่า "SWORD ART ONLINE" วัยรุ่นนับหมื่นคนจากทั่วญี่ปุ่นถูกกักขังโดยกรงอิเล็กทรอนิกส์และตกอยู่ในสภาวะหลับยาว
พี่ชายของเธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตไซตามะ จากนั้นครั้งแรกที่ซูกูฮะได้ไปเยี่ยมเขา...
ขณะที่เธอเห็นอาการโคม่าของพี่ชายเธอ เธอก็ได้รีบไปยังเตียงคนไข้ ที่เตียงนั้นมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด และถูกครอบหมวกที่แสนหน้ากลัว ทันใดนั้นน้ำตาของซูกูฮะก็ได้ไหลพรากออกมา มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่เธอได้ร้องไห้ เธอเกาะพี่ชายเธอเอาไว้แน่นๆแล้วร้องไห้ออกมาดังๆ
มันไม่เคยมีโอกาศที่จะได้แรกเปลี่ยนคำพูดใดกับเขา ทำไมเธอไม่พยายามที่จะรักษาระยะห่างของเขาและเธอให้น้อยกว่านี้? มันไม่ยากอะไรเลย มันเป็นไปได้ถ้าเธอคิดจะทำ
ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าเธอจะปฏิบัติโต้ตอบและแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเธออย่างไร แต่เธอก็ไม่พบคำตอบนั้น ตอนที่เธออายุ 14 และ 15 ปี ตอนที่เธอไม่มองเห็นพี่ชายของเธอ เธอได้เข้าโรงเรียน ม.ปลาย ตามคำแนะนำของคำแนะของคนอื่นๆรอบๆตัวเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอควรจะเดินต่อตามเส้นทางเดิมอย่างไม่ต้องสงสัยในหัวใจของเธอนั้นมันไม่มีความลังเลอยู่
ถ้าพี่ชายของเธอกลับมาแน่นอนว่าเธอจะคุยกับเขามากขึ้น เธอจะกำจัดความสับสน ความวิตกกังวลของเธอออกไป และบอกเขาตรงไปตรงมาตามความคิดของเธอ หลังจากนั้นผ่านไปสองเดือนซูกูฮะการตัดสินของเธอ ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นพี่ชายของเธอนั้นได้ทำลายโชคชะตาที่เลวร้ายด้วยพลังของตนเอง แล้วกลับมา
--ถึงจุดนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชายของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เธอได้ยินมาจากแม่ของเธอว่า ตัวตนที่แท้จริงของคาซือโตะนั้นไม่ใช่พี่แท้ๆเป็นเพียงแค่ญาติ
พ่อของเธอมิเนทากะเป็นลูกคนเดียว ส่วนแม่ของเธอมิโดริมีพี่สาวอยู่หนึ่งคนที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เธอไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อซูกูฮะรู้ว่าคาซือโตะเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวแม่ตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูบเสียบางสิ่งไปและเริ่มไม่แน่ความสัมพันธ์ของตนเองที่ควรรักษา พวกเขาควรจะไปไกลขึ้นเล็กน้อยรึเปล่า? พวกเขาควรที่จะเป็นแบบเดิม? เธอไม่มีรู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรในการแสดงความสัมพันธ์นี้
...ใช่ มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง...
ในขณะที่เธอคิดเรื่องทั้งหมดนี้ เธอได้ฟาดดาบไม้เคนโด้ลงอย่างรวดเร็ว เหมือนจะตัดความคิดของตัวเธอเอง มันน่ากลัวที่จะคิดลึกลงไปมากกว่านี้ จากนั้นเธอก็เริ่มฝึกเหวี่ยงดาบเคนโด้อีกอีกครั้งเพื่อไม่ให้ภายในหัวฟุ้งซ่าน เธอเธอเหวี่ยงครบตามจำนวนที่เธอต้องการแล้ว องศาของด้วยอาทิตย์ที่ขึ้นนั้นสูงกว่าจากเดิมจากตอนแรมานิดหน่อย แต่ก็สังเกตุเห็นได้ค่อนข้างชัดพอตัว เธอปาดเหงื่อที่หน้าผาก วางดาบไม้เคนโด้ลง และหันหลังกลับไปยังบ้านของเธอ
"เอ่อ..."
ในขณะที่เธอมองไปที่บ้านเธอก็หยุดการก้าวเท้าของเธอลง
เธอไม่ทราบว่าคาซือโตะที่สวมเสื้อยืดอยู่นั้นนั่งอยู่ตรงระเบียง และมองมาที่เธอ ขณะที่พวกเขาสบตากันเขาก็ได้พูดว่า
"อรุณสวัสดิ์"
ในขณะที่เขาพูดเขาก็ได้โยนขวดแร่น้ำเล็กๆในมือซ้ายของเขามาที่เธอ ซูกูฮะจับมันด้วยมือขวาก่อนที่เธอจะตอบสนอง
"อะ-อรุณสวัสดิ์... นี่ ถ้าพี่ดูหนูอยู่น่าจะพูดอะไรซักคำซิ"
"แต่ดูเหมือนเธอมุ่งเน้นการฝึกอย่างจริงจังน่ะซิ"
"ไม่จริง หนูก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอน่ะ"
ซูกูฮะเธอแอบมีความสุขจริงๆอยู่ในใจ ที่พวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติกับอีกคนเป็นเวลา 2 เดือนกว่า เธอเปลี่ยนจุดที่ยืนของเธอไปทางขวาของคาซือโตะ เยิบห่างจากเขาเล็กน้อยแล้วนั่งลง เธอวางดาบไม้เคนโด้ของเธอไว้ข้างๆ เธอปวดฝาขวดน้ำแล้วยกขวดขึ้นใส่ปากของเธอ น้ำที่เย็นทำให้อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนของเธอสดชื่นขึ้นมาก
"พี่เห็นเธอถือมันตลอดเวลาเลยนะ"
คาซือโตะหยิบดาบไม้เคนโด้ของซูกูฮะแล้วเหวี่ยงมันเบาๆด้วยมือข้างขวาของเขาในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่
"ค่อนข้างเบา..."
"หือ?"
ซูกูฮะนำปากออกจากขวดของเธอแล้วมองไปที่คาซือโตะ
"มันทำมาจากไม้ไผ่แท้ จึงค่อนข้างหนัก น้ำหนักประมาณ 50 กรัมซึ่งหนักกว่าดาบไม้ที่ทำจากคาร์บอน"
"อ่ะ อ่าฮ่า นั่น... มันเป็นสิ่งที่พี่รู้สึก... แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมัน..."
คาซือจิ๊กขวดน้ำจากมือซูกูฮะ แล้วรีบดื่มทั้งหมดที่เหลือ
"อ๋า..."
ใบหน้าของซูกูฮะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง และไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน เธอบุ้ยริมฝีปากเธอและบ่งบอกว่าไม่ได้มีความสุข
"ละ-แล้วสิ่งที่พี่เปรียบเทียบนั้นคืออะไร?"
คาซือโตะวางขวดเปล่าที่ระเบียงและไม่ตอบ
"เฮ้ จะลองมาซ้อมกันไหม"
ซูกูฮะตะลึงแล้วมองไปที่หน้าของคาซือโตะ
"ในรูปแบบ... การแข่งขัน?"
"ใช่"
คาซือโตะพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความสนใจเกี่ยวกับเคนโด้ก็ตาม
"แล้วเครื่องป้องกันละ..."
"หืมมม มันก็โอเคนะถ้าเราไม่สวมใส่พวกมัน... แต่มันจะแย่มากถ้าซูกูฮะได้รับบาดเจ็บ พี่คิดว่เครื่องป้องกันของคุณตายังอยู่นะ ไปที่โรงฝึกกันเถอะ"
"โอ้ววว"
ซูกูฮะลืมความลังเลของเธอเมื่อไม่นานนี้ไปอย่างสิ้นเชิง และเธอก็สงสัยว่าทำไมจู่ๆเขาก็พูดสิ่งนั้นขึ้นมา เธอยิ้มแล้วพูดว่า
"พี่มั่นใจเหรอ? ที่พยายามจะแข่งกับคนที่สามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้? นอกจาก..."
การแสดงสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปแล้ว
"ร่างกายของเธอพร้อมใช่ไหม...? เธอไม่ควรที่จะประมาทนะ..."
"ฮิๆ หนูจะแสดงผลของการฝึกฝนทุกวันที่โรงยิมให้ดู"
คาซือโตะหัวเราะแล้วเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วซูกูฮะก็ตามไป
บ้านคิริกายะมีพื้นที่กว้างขวางมาก และมีโรงฝึกเคนโด้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของห้องแม่เธอ พวกเขาเดินตามรอยคุณตาและไม่ได้ทำลายมัน แล้วซูกูฮะก็ใช้มันในการฝึกฝนมันเป็นประจำทุกวันเนื่องจากมันมีอุปกรณ์ครบทุกอย่างที่สำหรับใช้เคนโด้
พวกเขาเข้ามาที่โรงฝึกด้วยเท้าเปล่า เริ่มโค้งคำนับและจากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวตามลำดับ โชคดีที่ร่างกายของคาซือโตะมีขนากเท่ากับตัวของคุณตา ชุดเกราะที่พวกเขานำออกมานั้นเป็นเพียงของเก่าๆ แต่พอดีกับตัวมาก พวกเขาผูกเชือกที่หมวกเสร็จพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองเดินมาที่ตรงกลางโรงฝึกแล้วโค้งคำนับพร้อมกันอีกครั้ง
ซููกูฮะค่อยๆยืนขึ้นจากตำแหน่งที่หมอบของเธอ เธอคว้าดาบไม้เคนโด้ที่เธอชื่นชอบจับอย่างแน่นหนา และทำท่าศูนย์กลาง(มันก็ยืนตัวตรงจับดาบเคนโด้ธรรมดานั่นแหละ) ในขณะเดียวกันคาซือโตะนั้น-
"นะ-นั่นมันอะไรค่ะพี่?"
เมื่อเห็นท่าทางที่คาซือโตะทำอยู่นั้น ซูกูฮะก็พูดโพร่งออกไปโดยไม่ต้องคิด แปลกเป็นวิธีเดียวที่จะอธิบายเกี่ยวกับมัน ท้าวของเขาออกข้างหน้าประมาณครึ่งตัวของเขา เอวของเขาลดต่ำลง ดาบไม้เคนโด้ที่อยู่บนมือขวาของของเขา ด้านปลายของมันต่ำลงจนเกือบถึงพื้น มือซ้ายของเขากูเหมือนกับว่าเขากำลังถือขวดสาเกอยู่
"ถ้าผู้ตัดสินอยู่ เขาคงจะโกรธแบบไร้เหตุผลนะ"
"ไม่เป็นไร นี่มันเป็นสไตล์การถือดาบของพี่"(มันคงจะชินการจับดาบคู่ตอนอยู่ SAO ละมั้ง)
ซูกูฮะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปรับท่าทางของเธอ คาซือโตะเพิ่มระยะห่างระเท้าทั้งสองและลดศูนย์กลางของมวล
ซูกูฮะคิวเกี่ยวกับการเตะเท้าออกไปด้วยแรงที่พอเหมาะที่พื้นมันจะมีประสิทธิภาพในการเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ท่าทางแปลกๆของคาซือโตะทำใหเธอไม่แน่ใจว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี แม้จะเป็นการเปิดตัว มันก็ไม่รู้สึกว่า มันจะง่ายที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ ด้วยท่าทางนั้นมันเหมือนกับคนที่ได้รับประสบการณ์มาหลายปี-
แต่มันเป็นไปไม่ได้ คาซือโตะจับดาบไม้เคนโด้มาเพียงแค่ 2 ปี คือช่วงที่เขาอายุ 7 และ 8 ปี ในช่วงนั้นเขาได้เรียนแค่ในระดับพื้นฐาน
ในขณะที่ซูกูฮะกำลังสังเกตุอย่างสับสนอยู่นั้น คาซือโตะก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาประทะในมุมต่ำราวกับว่าเขากำลังร่อนอยู่ และดาบไม้เคนโด้ของเขาก็พุ่งขึ้นมาจากด้านล่างขวา มันไม่ใช่แค่ระดับความเร็วของเขาเท่านั้นที่หน้าตกใจ การโจมตีอย่างกระทันหันของเขาก็ด้วยเช่นกัน ซูกูฮะพลิกเท้าหลบเพื่อโต้กลับ
"โคเตะ!" (ไม่ใช่วัวเตะนะครับพี่น้อง! แต่มันคือคำศัพท์เคนโด้ตอนที่จะโจมเครื่องป้องกันชนิดนั้นๆ)
ซูกูฮะเหวี่ยงดาบลงไปที่แขนซ้ายของคาซือโตะ มันควรจะเป็นช่วงที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอนั้นได้แค่ตัดอากาศ
มันไม่น่าเชื่อที่จะหลบได้ เขาเหวี่ยงมือซ้ายของเขามาที่หน้าอกตัวเองอย่างเน่นหนา มาเป็นไปได้ด้วยเหรอ? การเล็งที่เป้าหมายสร้างความตกใจให้กับเธอ ดาบไม้เคนโด้ที่คาซือโตะถือด้วยมือข้างขวาเพียงข้างเดียวถาโถมเข้ามา ตอนนี้เธอทำได้เพียงหลบอย่างลนลาน
เมื่อครั้งที่ทั้งสองสลับตำแหน่งไปรอบๆ เมื่อทั้งสองเจอหน้ากันพวกเขาก็จะรักษาระยะห่างอีกครั้ง สติของซูกูฮะได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความตึงเครียดเต็มไปบนทั่วร่างกายเธอ ราวกับว่าเลือดของเธอนั้นกำลังเดือด ในตอนนี้เธอโจมตีที่แขนตามความถนัดของเธอ-
แต่ทว่าคาซือโตะสามารถที่จะบ่ายเบี่ยงมันได้ เขาดึงแขนของเขากลับ บิดตัวของเขาเอง และดาบไม้เคนโด้ของซูกูฮะสไลด์ออกไปราวกับรูของกระดาษ ซูกูฮะตะลึงเป็นอย่างมาก เธอมีความเร็วที่สูงที่สุดในชมรม และเธอไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ที่จะมีใครบางคนสามารถที่จะหลบการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเธอได้
สถานะการณ์เริ่มตึงเครียดซูกูฮะเริ่มโจมตีรุนแรงมากขึ้น เธอบังคับปลายดาบไม้เคนโด้ให้เร็วกว่าหนึ่งลมหายใจของเธอ แต่คาซือโตะก็หลบและหลบ การเคลื่อไหวของดวงตาคาซือโตะเหมือนกับว่าได้อ่านการเคลื่อไหวของดาบไม้เคนโด้เธอได้อย่างสมบูรณ์
ซูกูฮะเริ่มหงุดหงิดเธอก็เริ่มปิดเส้นทางและล็อกเส้นทางของคาซือเอาไว้ ซูกูฮะได้ผ่านการฝึกอย่างดีเรื่องของขาและลำตัว คาซือก็เริ่มเจอกับความกดดันอย่างท่วมท้น ซูกูฮะไม่ยอมให้เขาหนีซูกูฮะก็ได้จบด้วยการฟาดลงไปที่หัวของเขา
"เม็ง!"(ฟาดลงเครื่องป้องกันที่หัว)
"แอ้ก" มันสายเกินไปที่ซูกูฮะจะรู้สึกตัว เธอไม่ได้ออมมือในการฟาดลงไป แถมยังกระแทกลงไปอย่างเต็มแรง ตรงที่หมวกเหล็กที่คาซือโตะใส่อยู่ดัง แปะ! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วโรงฝึก
คาซือโตะเดินโซซัดโซเซไปข้างข้างหลังไม่กี่ก้าวก่อนที่เขาจะหยุด
"โอเคไหมค่ะพี่!"
ซูกูฮะถามอย่างตกอกตกใจ คาซือโตะโบกมือซ้ายเบาๆเพื่อให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร
"...เอ่อพี่แพ้น่ะ มันใจได้เลยว่าซูกูแข็งแกร่งมาก ชนิดที่ว่าเอาไปเปรียบเทียบกับ Heathcliff ได้เลย"
"...พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ?..."
"ใช่ จบการแข่งขัน"
หลังจากที่คาซือโตะพูดเสร็จ เขาก็ถอยหลังกลับไปและทำท่าเคลื่อนไหวแปลกๆ เขาโบกดาบไม้เคนโด้ไปทางด้านซ้ายและขวา และสุดท้ายนำมันไปไว้ข้างหลัง มันทำให้เกิดเสียง ฟุบๆ ในอากาศ
มือของเขาอยู่บริเวณตรงหัว เธอเริ่มกังวลตรงตอนที่พี่ชายของเธอทำท่านี้
"อ่า หัวของพี่ถูกตี แล้ว..."
"มะ-ไม่ใช่นะ!! มะ-มันเป็นสันดานเก่าน่ะ..."
หลังจากนั้้นเขาก็โค้งคำนับให้กัน คาซือซือนั่งลงอย่างเป็นทางการและแก้เชือกที่อยู่ตรงหมวกกันน็อคเคนโด้ออก
พวกเขาออกจากโรงฝึกพร้อมกันเพื่อไปที่ห้องน้ำ และล้างเหงื่อออกจากใบหน้าของพวกเขา เธอตั้งใจว่าจะเล่นแบบเป็นรอบ เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องจริงจังกับมันมาก และทำให้ร่างกายเธอตื่นเต้นจนหมดแรงถึงขนาดนี้
"แต่หนูประหลาดใจจริง พี่ไปฝึกมาตอนไหนเหรอ?"
"เอ เรียกว่าฝึกในหัวดีกว่ามั้ง... ดูเหมือนว่าทักษะดาบจริง ไม่สามารถใช้ระบบช่วยเหลือจัดการได้"
อีกครั้งที่คาซือโตะบ่นพึมพำอะไรบางอย่างออกไปโดยเธอเธอไม่สามารถเข้าใจได้
"แต่มันสนุกจริงๆ พี่คิดว่าคงต้างกลับมาฝึกเคนโด้อีกครั้งแล้วละ..."
"จริงเหรอ!? พูดจริงนะ!?"
ซูกูฮะยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว และเธอก็เริ่มยืนยันในการตอบสนอง
"ซูกู เธอจะสอนพี่ไหม?"
"โอ้แน่นอน! เราจะฝึกด้วยกัน!"
"แต่พวกเราคงจะต้องรอกันไปก่อน รอจนกว่ากล้ามเนื้อพี่จะฟื้นฟูจนกลับเป็นเหมือนเดิมอ่ะนะ"
คาซือโตะพยักหน้าและซูกูฮะก็ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ ความคิดของเธอการที่พวกเธอจะได้ฝึกเคนโด้ด้วยกันอีกครั้ง เธอมีความสุขมากจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาจากดวงตาเธอ
"เฮ้... พี่ค่ะ... คือหนู..."
ถึงแม้ซูกูฮะจะไม่เข้าใจว่าทำไมคาซือโตะกลับมาสนใจเคนโด้อีกครั้ง เธอมีความสุขมากจริงๆ และต้องการบอกเขาในสิ่งใหม่ๆที่เธอสนใจ อย่างไรก็ตามเธอก็รีบเปลี่ยนความคิดและกลืนคำพูดที่เธอกำลังจะพูดออกมา
"หือ?"
"เอ่อ ไม่ล่ะไม่บอกดีกว่า"
"ทำไมละ!?"
หัวของทั้งสองคนเริ่มแห้ง และจากนั้นเขาก็กลับไปบ้านใหญ่ทางประตูด้านหลัง แม่ของเธอมิโดริมักจะออกไปทำงานตอนเช้าทุกครั้ง ดังนั้นซูกูฮะและคาซือโตะจะพลัดกันทำอาหารเช้าทุกครั้ง
"เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำนะ วันนี้พี่มีแผนจะทำอะไรรึเปล่า?"
"เอ่อ... วันนี้พี่...พี่จะไปโรงพยาบาล"
"..."
ซูกูฮะที่กำลังมีสปิริตสูงก็เงียบลง แล้วฟังคำพูดของเขาอย่างเงียบๆ
"หนูรู้ พี่กำลังจะไปเยี่ยมคนๆนั้น"
"เอ่อ... มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่จะทำได้ในตอนนี้"
คนๆนั้นคือคนที่สำคัญที่สุดของเขาในอีกโลกหนึ่ง เธอเคยได้ยินจากปากของเขาเมื่อเดือนก่อน ในตอนนั้นซูกูฮะอยู่ในห้องของคาซือโตะ ทั้งสองคนนั่งข้างกันและคาซือโตะถือถ้วยกาแฟมาดื่มในขณะที่เขากำลังอธิบายราบละเอียดให้ฟัง ซูกูฮะหลังจากที่ได้ฟังเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆหนึ่งสามารถตกหลุมรักในโลกเสมือนจริง แต่ในตอนนี้เธอสามารถที่จะเข้าใจได้ นอกจากนี้เมื่อคาซือโตะพูดโตะพูดถึงคนๆนั้น เขามักจะมีน้ำตาไหลออกมา
คาซือโตะกล่าวว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันจนถึงวินาทีสุดท้าย มันเขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองจะกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงพร้อมกัน แต่หลังจากที่คาซือโตะมีสติกลับคืนมา คนๆนั้นก็ยังคงหลับอยู่ในห้อง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น-- หรืออาจะจะมีบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้ และไม่มีใครสามารถหาคำตอบนี้ได้ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เมื่อเขามีเวลาคาซือโตะก็จะไปยืนเธอคนนั้นทุกๆ 3 วัน
เธอเห็นมันได้อย่างชัดเจน คาซือโตะนั่งอยู่ใกล้หน้าของเธอคนนั้นที่กำลังหลับไหลอยู่ กุมมือของเธอขึ้นมา เหมือนตอนที่ซูกูฮะกุมมือคาซือโตะตอนที่กำลังหลับไหลอยู่ แล้วเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทันทีที่เธอคิดถึงภาพนั้นหัวใจของก็รู้สึกเจ็บแปล็บอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก และการหายใจก็เริ่มยากขึ้นไม่เป็นจังหวะ เธอยืนกอดอกตัวเองแล่วนั่งลงตรงที่ๆเธออยู่
เธอต้องการให้คาซือโตะยิ้ม ตั้งที่ที่เขากลับมายังโลกแห่งนี้ เขาก็เริ่มเปิดใจตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาเริ่มที่จะพูดคุยกับซูกูฮะมากขึ้น เขามีความอ่อนโยนและไม่เคยเรียกร้องอะไร มันทำให้รู้สึกหวนกลับไปยังวัยเด็กของพวกเค้าอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงได้ตระหนักถึงคนๆนั้น คนที่ทำให้พี่ชายของเธอมีน้ำตาร่วงออกมา ถึงจุดนั้นเธอเริ่มยับยั้งใจตนเอง--
--แต่ฉัน ฉันรู้แล้ว...
เมื่อคาซือโตะปิดตาของเขาเพื่อที่จะนึกถึงเธอคนนั้น ซูกูฮะรู้สึกว่าเธอสามารถรักษาอาการเจ็บปวดของหัวใจตนเองได้ ราวกับว่าเธอพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเก็บความรู้สึกที่อึดอัดนี้เอาไว้
ขณะที่เธอมองคาซือโตะกำลังเทนมลงในแก้วบนโต๊ะ แล้วหยิบขึ้นมา ซูกูฮะกระซิบในใจของเธอว่า
--นี่พี่ค่ะฉัน ฉันรู้แล้วนะค่ะ
ความสัมพันธ์แบบแต่ก่อนนั้นไม่ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขาเป็นญาติกัน แม้แต่ซูกูฮะยังไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้จบลงเช่นนี้
แต่บางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยที่จะคิดจริงๆจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะนี้ความลับเล็กๆที่อยู่ในใจของเธอมันทำให้เธอหวั่นไหว
บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ว่าเธอชอบพี่ชายของเธอ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้มันก็อาจจะดีแล้วก็ได้
ในชั้นที่ 50 ของกลางของ Aincrad เอกีลเป็นเจ้าของร้านค้าหนึ่งชื่อว่า Algade พวกเราเจอกันครั้งแรกในวันที่ 20 ที่โตเกียว และได้มีการขอแลก E-mail กันที่นั่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราใช้ในการส่งหากัน หัวข้อของข้อความคือ 'LOOK AT THIS' เมื่อผมเปิดขึ้นมามันก็ไม่ได้มีข้อความใดๆ มีเพียงแค่รูปภาพเพียงภาพเดียว
ผมเลื่อนลงไปและเปิดดูรูปภาพขึ้นหน้าจอ แล้วเริ่มดูภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างใกล้ชิด
ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง คุณจะได้เห็นลักษณะของสีและแสงที่มันไม่เหมือนโลกแห่งความจริง แต่เหมือนกับโลกที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น ในเบ้องหน้าที่เขาเห็นคือภาพที่มีกรงสีทองตั้งเรียงถี่ๆ พร้อมกับโตะสีขาว มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวนั่งอยู่ข้างใน ผมพยายามมองอย่างละเอียดที่ใบหน้าของตัวเธอ--
"อาสึนะ!"
ถึงภาพจะดูหยาบๆแต่ก็สามารถดูออกได้ว่าเป็นผู้หญิง ผมของเธอยาวและมีสีเกาลัด นั่นคืออาสึนะอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของเธอนั้นดูอ้างว้างและมือของเธอก็วางไว้อยู่บนโต๊ะ ถ้าสังเกตุดีๆก็จะเห็นปีกใสๆที่ยื่นออกมาจากข้างหลังเธอ
ผมรีบขว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ และผมก็รีบหาประวัติการโทรเข้าในมือถือ มันจะต้องมีการโทรเข้าภายในไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้แน่ๆ แต่รู้สึกว่าจะเป็นไม่กี่ชั่วโมงก่อนมากกว่า ในที่สุดก็เจอแล้วผมก็โทรออก จากนั้นก็มีเสียงทุ้มๆจากคนรับ
"Hello--"
"เฮ้!! บอกทั้งหมดที่รู้เกี่ยวภาพนี้มาเดี๋ยวนี้"
"นี่คิริโตะ อน่างน้อยๆก็รีบแนะนำตัวก่อนซิ"
"ฉันไม่มีเวลมากนะ!! รีบบอกฉันมาเร็วๆ!!"
"เรื่องมันยาวน่ะ นายสามารถมาหาฉันได้ไหมล่ะ"
"ได้เลย ฉันจะรีบไปทันที"
ตอบกลับไปอย่าไม่รีรอ ผมวางสายแล้วคว้าเสื้อมาเปลี่ยน ผมไม่ได้อาบน้ำเส้นผมของผมจึงแห้ง และใส่รองเท้าให้เร็วในที่สุดในชีวิต แล้วภายในเวลาไม่นานผมก็รีบขี่จักรยานมุ่งหน้าออกไป ถนนเส้นนี้ยาวมากแม้ตัวผมจะใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
คาเฟ่และบาร์ของเอกีลตั้งอยู่ในไทโตะ โอกาชิมาจิ ในไม่ช้าผมก็เห็นแผงสีดำและป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยลูกเต๋าเขียนไว้ว่า «Dicey Café»
ผมเปิดประตูเข้าไปและก็ได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งบนประตู ชายหัวล้านที่เคาน์เตอร์เงยมองมาที่ผมและหัวเราะ ที่นี่ไม่เห็นมีลูกค้าซักคนเลย
"โอ้ มาเร็วดีนี่"
"ธุรกิจยากจนเช่นเคย ธุรกิจเมื่อ 2 ปีก่อนอยู่รอดได้ไงเนี่ย?"
"แน่นอนในตอนนี้มันค่อนข้างที่ช้า แต่ในตอนกลางคืนนั้นมันคนละเรื่องกัน"
การสนทนาบนโลกแห่งความเป็นจริงมันทำให้ผมสงบขึ้นนิดหน่อย ตั้งแต่ที่ผมกลับมาที่โลกนี้
การพบป่ะของพวกเรามันเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนก่อน ผมได้รับชื่อจริงและที่อยู่ต่างๆของผู้เล่นจากสมาชิกของกระทรวงกิจการภายใน ไคลน์, นิชิดะ, ซิลิก้า และลิธซึเบธ, ฯลฯ แม้ว่าจะมีผู้เล่นหลายคนที่ผมอยากจจะเจออีกครั้ง แต่เมื่อพวกเขากลับสู่โลกแห่งความจริง มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะพอเจอกัน สถานที่แรกที่ผมมาเยี่ยมก็คือร้านแห่งนี้
"แล้วนายต้องการให้ฉันบอกอะไรนายเหรอ!?"
ใบหน้าของเจ้าของร้านนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขซักเท่าไหร่
ชื่อจริงของเขาคือ แอนดิวว์ กิวเบิร์ต มิวส์ ผมคิดว่ามันเหลือเชื่อมากที่เขาก็เปิดร้านขายของเช่นเดียวในโลกแห่งความเป็นจริง
แม้ว่าเขาจะเป็นลูกครึ่ง แอฟริกา-อเมริกา แต่ดูท่าพ่อแม่ของพวกเขาค่อนข้างจะชอบญี่ปุ่นมากกว่า และตอนที่เขาอายุ 25 ปี เขาก็เปิด Coffee Shop-Bar ขึ้นที่นี่ นอกจากในบรรดาลูกค้าของเขาแล้ว เขาได้พบกับผู้หญิงที่สวย และแสนดีคนหนึ่ง นั่นคือภรรยาของเขา หลังจากนั้นเขาก็ติดอยู่ในโลกของ SAO เป็นเวลาถึง 2 ปี หลังจากที่เขากลับมา ร้านที่เขาคาดว่าจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ก็ได้ปิดตัวลงเป็นเวลานานพอสมควร โดยภรรยาของเขาพยายามรักษามันไว้ มันเป็นเรื่องที่หน้าประทับใจมาก
จริงอยู่ที่เขาไม่ได้มีลูกข้ามากมาย ร้านนี้นั้นมีรูปร่างค่อนข้างกระทัดรัด มีเก้าอี้ 4 ตัวตั้งอยู่ข้างหน้าเคาน์เตอร์ เป็นสถานที่ที่มีสีสันสดใสทั้งหน้าสนใจและผ่อนคลาย
ผมนั่งบนเก้าอี้หนังสั่งกาแฟ และถามเอกิลเรื่องเกี่ยวกับภาพ
"ภาพนี้มันอะไรกันแน่?"
ผู้จัดการร้านไม่ได้ตอบในทันที แต่ผมก็เฝ้ามองเขาขณะที่เขานำกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้เคาว์เตอร์ขึ้นมา และเปิดให้ผมดู ผมหยิบมันขึ้นแล้วดูด้านขวาบนของมัน มันเขียนไว้ว่า «Amusphere»
"ฉันไม่เคยได้เห็น hardware ตัวนี้มาก่อน"
"«Amusphere» มันออกวางขายในระหว่างที่เราติดอยู่ในอีกโลก มันเป็นรุ่นต่อของเทคโนโลยี FullDrive ถัดจากเครื่อง Nerve Gear"
ขณะที่ผมมองโลโก้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ เอกีลก็ได้อธิบายอย่างง่ายๆ
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น Nerve Gear ก็ได้ถูกขนานนามใหม่ว่า 'เครื่องปีศาจ' และเพื่อไม่ให้ผู้ผลิตกล้าที่จะเกี่ยวข้องกับการผลิตเครื่องเกมแบบเทคโนโลยี Full Drive อย่างไรก็ตาม 6 เดือนถัดมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ถูกขังใน SAO ก็ได้มีบริษัทใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้สโลแกนว่า 'ความปลอดภัยที่แน่นอน' มันออกมาในรูปแบบของทายาท Nerve Gear และในขณะที่เราติดอยู่ใน Aincrad ในช่วงนั้นเราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
นั่นช่วยให้ผมเข้าใจขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่เพราะว่าพักนี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารกี่ยวกับเรื่องเกมเลย ผมก็เลยไม่ค่อยได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ชัดเจนเท่าไหร่
"แล้ว มันเป็นเกมแนว VRMMO เหมือนกัน?"
ผมถือไว้บนมือของผมและตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง มันเป็นภาพป่าลึกที่มีพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า ส่วนข้างหน้านั้นมีผู้หญิงสวมชุดเครื่องแบบแฟนตาซีอยู่ เธอถือดาบอยู่ในมือ โบยบินไปบนท้องฟ้าด้วยปีกโร่งใสของเธอ ข้างล่างภาพประกอบเกมนั้นมีชื่อว่า - «ALfheim Online»
"ALfheim...Online? มันหมายความว่าอะไร?"
"ความหมายก็ตรงตามตัวเลย มันหมายความว่า 'บ้านของเอลฟ์' "
"เอลฟ์? ฉันยังไม่ค่อยเครียร์เท่าไหร่แหะ เล่นแล้วเครียดไหม?"
"อะ-เอ้อ อาจจะมั้ง เท่าที่เคยได้ยินมา รู้สึกว่ามันค่อนข้างยากอ่ะนะ"
เอกีลวางถ้วยกาแฟไว้ข้างหน้าผมแล้วหัวเราะ ผมยกถ้วยแล้วก็เพลิดเพลินกันกลิ่นหอมของมัน แล้วก็ยังคงถามเขาต้อไป
"แล้วมันยากประมาณไหนล่ะ?"
"ระบบ Skill นั้นอยู่ในระดับ Extreme และเน้นเกี่ยวกับทักษะของผู้เล่น สนับสนุนระบบ PK"
"Extreme...?"
"«Levels» ไม่มีอยู่ในเกมนี้ ทักษะเท่านั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้ แถมยังเพิ่มได้ตลอดอีก ระบบต่อสู้ต้องอาศัยความสามารถของตัวผู้เล่นเอง แทนที่จะใช้ Skill ของดาบเหมือนกับ SAO แต่ไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดยิบๆย่อยอันขนาดนั้น ส่วนเรื่องภาพนั้นสวยเหมือนกับ SAO เลยล่ะ"
"อ่า เท่าที่ฟังดูน่าเล่นใช่ย่อยนี่"
ผมเริ่มเห็นภาพของมันแล้วล่ะ การสร้างเมือง Aincrad ลอยฟ้านั้น มาจากความพยายามอันบ้าคลั่งและความเป็นอัจฉริยะอย่าง อากิฮิโกะ คายาบะ ผู้ที่สร้างโลกเสมือนที่เทียบได้กับเขานั้น มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
"สนับสนุนระบบ PK?"
"ตอนที่สร้างตัวละคร ผู้เล่นสามารถเลือกเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายของ Fairy ได้ และการสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามนั้น ก็พอจะเป็นไปได้"
"ยากที่จะขำนะ ยิ่งใช้เทคโนโลยีในการสร้างสูงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนจะให้พวกคลั่งเกมซื้อเท่านั้น ฉันสงสัยว่าเกมนี้คงมากเป็นที่นิยมมากแน่ๆ" ผมพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
หลังจากที่เอกีลฟังคำพูดของผม เขากดลดความตึงเครียดของตนเองลงและยิ้ม
"ฉันก็เคยคิดเป็นนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ามันเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้คนในตอนนี้ มันมีสาเหตุหลักๆอยู่สาเหตุเดียวนั่นคือ นายสามารถความสามารถพิเศษได้นั่นก็คือระบบ «Fly»"
"บิน...?"
"ด้วยปีกแฟรี่ ที่แตกต่างจากเกมก่อนหน้านี้ มันใช้ระบบเดียวที่ใช้กับเครื่องบิน เลยสามารถทำให้ user สามารถบินได้อย่างอิสระ"
ผมไม่เคยมีความคิดที่จะบินมาก่อน หลังจากที่ Nerve Gear ได้รับการพัฒนา เกมที่เกี่ยวกับการบินเสมือนก็ได้รับการพัฒนาตามไปด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่การควบการยานพาหนะ การบินของมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นการยอมรับก็เพราะ มนุษย์นั้นไม่เคยมีประสบการณ์การบินด้วยตัวเองมาก่อน และไม่รู้จักการควบคุมการบิน
ในโลกจินตนาการเหล่านั้นผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถเช่นเดียวกับโลกแห่งความจริง ตรงกันข้ามถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นทำบางอย่างไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะทำไม่ได้ในโลกเสมือนเช่นกัน ปีกที่งอกออกมานั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ไอ้การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อนั้นพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
ใน SAO อาซึนะและผมมีความสามารถในการกระโดที่เหลือเชื่อมันเหมือนกับว่าพวกเราเรียนแบบการบิน แต่นี่มันเป็นการบินแบบอิสระ มันอยู่ในโลกที่แตกต่างกว่ามาก
"ไอ้แนวคิดการบินเนี่ยมันเหลือเชื่อมากอย่างอื่นก็เช่นกัน แต่มันต้องทำยังไงล่ะเนี่ย?"
"ใครจะไปรู้ล่ะ แต่มันคงจะลำบากจริงๆนั่นแหละ สำหรับมือใหม่นั้นนายสามารถที่จะควบคุมการใช้งานมันด้วย Joy Stick แบบมือข้างเดียว"
"..."
ผมเริ่มมีความต้องการที่จะเล่นเกมนี้ซะแล้วสิ แต่ผมต้องหยุดเรื่องนั้นไว้ก่อน และกลับไปนั่งจิบกาแฟของผมต่อ
"เอาล่ะ ฉันชักรู้สึกชอบเกมนี้ซะแล้วสิ กลับไปที่หัวข้อหลักกันก่อน อธิบายเกี่ยวกับภาพนี้มาหน่อยดิ"
เอกีลนำกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์มาวางไว้ข้างหน้าผม มันมีเพียงแค่รูปภาพ
"นายมองเห็นอะไร?"
หลังจากผมที่ได้ยินคำถาม ผมก็ลองสังเกตุภาพนี้ดีๆ ก่อนที่จะตอบ
"มันเมือนกับ... อาซึนะ..."
"ใช่นายก็คิดเหมือนฉัน นี่คือภาพ Screenshot ที่มีรายละเอียดค่อนข้างแย่"
"อธิบายมาเร็วๆหน่อยซิ"
"ภาพนี้ถูก Screenshot มากจากเกม ALfheim Online"
เอกีลนำภาพและรูปไว้ที่มือผม แล้วชี้ไปที่ภาพ Screenshot ตามภาพรวมของแผนที่นั้นมันอยู่บริเวณตรงกลางของต้นไม้ยักษ์
"นี่คือโลกแห่งต้นไม้ หรือจะเรียกว่า Yggdrasil ก็ได้"
เอกีลชี้ไปที่ต้นไม้
"เป้าหมายแรกของเขาคือจะเผ่าพันธุ์แรกที่สามารถขึ้นไปถึงจุดนี้ได้"
"พวกเขาไม่ได้รับอนุญาติให้บินขึ้นไปงั้นเหรอ?"
"ไม่ว่าพวกเขาจะมีความอดทนและความแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีลิมิต แค่บินขึ้นมาถึงจุดต่ำสุดของสาขานั้นก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ก็ยังมีคนวางกลุ่มมีไอเดียบ้าๆ กลุ่มๆนั้นประกอบไปด้วยกัน 5 คนสามารถที่จะบินขึ้นไปได้ เขาบินขึ้นไปอย่างกับจรวด ด้วยตัวของพวกเขาเอง"
"ฮ่าๆๆ ทำไมคิดยังงั้นล่ะ แม้ว่านายจะพูดว่าเป็นไอเดียที่บ้าบอก็เถอะ มันก็ค่อนข้างที่จะสร้างสรรค์เหมือนกันนะ"
"อ่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ กิ่งต้นไม้พวกนี้นั้นถือว่าอ่อนแอมาก และความสำเร็จของพวกเขานั้นได้เป็นที่ยอมรับ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาเลยถ่ายภาพพวกนี้ออกมา หนึ่งในพวกเขาพบกับกิ่งไม้สาขาใหญ่ ที่นั่นมีกรงอยู่"
"กรงนก..."
คำพูดผมพูดถึงพวกเขาที่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ได้ ผมเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน ติดอยู่ในกับดัก... ผมคิดในใจขึ้นมาทันที
"รูปภาพนี้ ถูกถ่ายโดยพวกเขา"
"แต่ทำไมอาซึนะถึงอยู่ที่นั่น?"
ผมหยิบเกมขึ้นมาดูอีกครั้ง
ผมโฟกัสไปที่ด้านล่างของกล่องมันพิมพ์ไว้ว่า «RECTO Progress»
"เป็นอะไรไปคิริโตะ? ทำไมนายถึงหน้าซีดล่ะ"
"ไม่มีอะไร... ไม่มีภาพอื่นๆอีกแล้วเหรอ? อย่างเช่น «คนอื่นๆใน SAO»นอกจากอาซือนะที่ยังไม่กลับมา?"
คำถามของผมทำให้ผู้จัดการร้านขมวดคิ้วและส่ายหัว
"ไม่มี ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลย แต่ภาพนี้จาก «ALfheim Online» ไม่สามารถที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพียงเพราะแค่นี้อย่าร้องไห้ล่ะพ่อหมาป่า"
"ใช่ ฉันรู้..."
ผมก้มหน้าลงนึกถึงสิ่งที่ชายคนนั้น -สึโกะ โนบูยูกิ- พูดกับผม
ผู้จัดการเซิฟเวอร์ SAO ก็คือเขา เขาเคยพูดไว้แบบนั้น ที่เขาต้องการจะสื่อก็คือเครื่อง Server นั้นก็เหมือนกล่องดำ ไม่สามารถที่จัดการโดยภายนอกได้ ในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ตามถ้าอาซึนะยังคงหลับต่อไปมันคงจะเป็นผลดีมากสำหรับเขา นอกจากนี้ผู้หญิงที่อยู่ในกรงที่โลกของ VRMMO ได้รับการออกแบบจากบริษัท RECTO แน่นอน ไม่มีทางที่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
ผมสามารถแจ้งเรื่องนี้ให้กับกระทรวงกิจการภายในได้ แต่ผมก็รีบเปลี่ยนความคิดของผม ความกังวลของผมมันคลุมเครือเกินไป และยังไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม
ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่เอกีล
"เอกีล ฉันขอยืมมันได้ไหม?"
"ไม่มีปัญหา... นายต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองใช่ไหม"
"ใช่ ฉันต้องการยืนยันด้วยตาคู่นี้ด้วยตนเอง"
เป็นครั้งแรกที่เอกีลที่เอกีลที่หน้าเหมือนจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แน่นอนพวกเราเข้าใจดีถึงอันตรายของโลกเสมือน
ผมยักไหล่และหัวเราะ
"ฉันคิดว่าถ้าฉันต้องการที่จะลอง คงจะต้องซื้อคอนโซลตัวใหม่ละทีนี้"
"Nerve Gear ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน AmuSphere เป็นเพียงรุ่นที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น"
"นั่นล่ะที่ดีจริงๆ"
ผมยักไหล่ เอกีลยิ้มเล็กน้อย
"เยี่ยม มันไม่ใช่ครั้งแรกที่นายช่วยคนที่ติดอยู่จิตใต้สำนึกของเธอเอง"
"มันไม่สำคัญว่ากี่ครั้งที่เธอติดอยู่ในนั้น และกี่ครั้งที่ฉันทำแบบนี้"
มันเป็นเช่นนี้ อาซึนะและผมไม่เคยติดต่อกันผ่านอื่นนอกจากอินเตอร์เน็ตของ Nerve Gear เสียงนั้นเสียงที่ผมอยากได้ยิน
แต่วันที่รอคอยเหล่านั้นจบลงไปแล้ว ผมดื่มกาแฟรวดเดียวหมด จากนั้นก็ยืนขึ้น เคาว์เตอร์ของเอกีลมีลักษณะค่อนข้างเก่าคล้ายกับร้านของเขาใน SAO ปราศจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ แต่ผมก็ชอบมันนะ ผมหยิบเงินขึ้นมาแล้ววางไว้บนเคาว์เตอร์
"ฉันคงต้องกลับตอนนี้แล้ว ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"
"ถ้านายต้องการข้อมูลนายสามารถติดต่อกับฉันผ่านรูปแบบอะไรก็ได้นะ นายต้องช่วยอาซึนะให้ได้นะ แล้วทุกสิ่งมันจะได้จบลงซักที"
"ถูกต้อง วันหนึ่งมันต้องจบลงไป"
ผมชกมือของผมด้วยกำปั้น แล้วเปิดประตูเดินออกไป
หิมะที่ตกลงมาเมื่อ 2 วันที่แล้ว ยังไม่ละลายอย่างสมบูรณ์ และเช้ากลางกลางเดือนมกราคมนั้นนั้นมีสภาพอากาศที่เย็นมาก
เธอหยุดอยู่ตรงขอบของบ่อน้ำซึ่งถูกปกครองด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ และตั้งดาบไม้เคนโด้ที่อยู่ในมือข้างขวาของเธอลงไว้ตรงลำต้นของต้นไม้ที่ใกล้กับต้นสนดำ เพื่อที่จะขับความง่วงของเธอออกไป เธอได้หายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็นำมือทั้ง 2 วางไว้บนเข่า แล้วก็เริ่มวอมอัพแบบยืดร่างกาย
กล้ามเนื้อของเธอที่ยังตื่นไม่เต็มที่ก็เริ่มคลายลงอย่างช้าๆ ตอนแรกก็ที่หัวเข่าการไหลเวียนเลือดที่เริ่มข้อเท้าและน่องของเธอ
ซูกูฮะโน้มตัวลงไปจนสุดพอจากนั้นก็ค่อยๆโน้มกลับมาเป็นอย่างเดิมจากนั้นเธอก็หยุดทันที น้ำแข็งที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่ทะเลสาบนั้นทำให้มันสะท้อนเงาของภาพตัวเธอออกมา
เธอมีผมสั้นผมม้าของเธอนั้นยาวมาถึงคิ้วทั้งสองข้างของเธอ ส่วนผมด้านหลังก็ยาวมาถึงไหล่ สีผมของเธอนั้นเป็นสีดำ ภาพที่สะท้อนเธอนั้นสะท้อนมาพร้อมกับท้องฟ้าสีฟ้าคราม คิ้วของเธอนั้นดำสนิดเหมือนสีของน้ำหมึกสีดำและหนามาก ขณะที่ดวงตาของเธอนั้นบ่งบอกถึงลักษณะความพยายามที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด ยังไงก็ตามตามในเงาสะท้อนนั้นเธอมีลักษณะเหมือนจะเป็นเด็ก เธอสวมชุดโดกิสีขาวและก็ใส่ฮากามะสีดำทับ(ชุดโดกิคือชุดสำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่น ส่วนฮากามะคือชุดดั้งเดิมของญี่ปุ่น) เธอสวมเพื่อแค่ให้สะดวกสบายสำหรับการฝึก
--ขณะที่ฉันคิด... ฉันไม่เหมือน... พี่ชายของฉัน...
มันมีความคิดมากมายต่างๆนาๆอยู่ในหัวใจของเธอในวันนี้ เธอคิดว่าทุกเช้าเวลานี้เธอเห็นกระจกที่ปากทางเข้าห้องน้ำ มันไม่ใช่เธอไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาเธอที่เธอเป็นอยู่ เธอไม่ได้ใส่ใจในการดูแลมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แต่นับตั้งแต่ที่พี่ชายของเธอคาซือโตะกลับมาที่บ้าน ภายในจิตใต้สำนึกของเธอเริ่มมีการเปรียบเทียบ
--ไม่ได้ อย่าไปคิดมากเกี่ยวมันเรื่องนี้
เธอส่ายหัวของเธอ แล้วก็กลับมายืดตัวต่อ
หลังจากที่เธอยืดร่างกายเสร็จแล้ว เธอก็ไปหยิบดาบไม้เคนโด้ของเธอที่อยู่ใกล้กับต้นสนสีดำ เธอจับมันแล้วรู้สึกถึงความคุ้นเคยในฝ่ามือของเธอที่ได้ใช้มันมาอย่างยาวนาน เธอยืดหลังของเธอและทำทางจับดาบแบบเคนโด้
เธอใจขึ้นลึกๆขณะที่รักษาท่าทางเดิม หลังจากนั้นเธอก็ยกดาบไม้ขึ้นแล้วเหวี่ยงลงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง การเคลื่อนไหวของเธอดูกระตือรือร้นดูเหมือนว่าเธอจะตัดอากาศตอนเช้า นกกระจอกจำนวนมากตกใจและบินกระจัดกระจายออกไป
บ้านของครอบครัวคิริกายะนั้นเป็นบ้านญี่ปุ่นแบบเก่าติดกับถนนที่เก่าแก่ที่อยู่ทางใต้ของไซตามะ ครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้นทั้งหมดได้อาศัยอยู่ที่นี่กับปู่ซูกูฮะ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนเขาเป็นคนที่เข้มงวดมากและล้าสมัย
ท่านทำงานที่กรมตำรวจเป็นเวลาหลายปีและสมัยท่านยังหนุ่มๆนั้นท่านยังเป็นนักเคนโด้ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ท่านฝากความหวังลูกชายคนเดียวนั่นก็คือพ่อของซูกูฮะที่จะเดินเส้นตาเดียวกับคุณตา เขาจับดาบเคนโด้จนกระทั่งเขาก็ได้เข้าเรียนโรงเรียน ม.ปลาย แต่เขาก็ก็ได้ยอมแพ้กับมัน เพื่อที่จะมุ่งเน้นเรื่องการเรียนในระดับที่สูงขึ้นที่อเมริกา และก็ได้งานที่นั่นเป็น บริษัทหลักทรัพย์ทางการเงินขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกกำหนดให้อยู่ที่สาขาญี่ปุ่นชั่วคราว แล้วเขาก็ได้พบมิโดริและก็ก็ได้แต่งงานกับเธอ แต่ก็ต้องมีชีวิตที่ต้องเดินทางเป็นประจำในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ในเวลานั้นคุณตาได้เปลี่ยนเส้นทางของเขามาหวังพึ่งให้กับซูกูฮะและคิริโตะตอนอายุได้เพียง 1 ขวบ
ซูกูฮะและพี่ชายของเธอถูกปั้นฝีมือการเล่นเคนโด้ที่สำนักในระหว่างที่พวกเขากำลังเรียนประถมอยู่ แต่เพราะอิทธิพลจากแม่ของเธอที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารระบบคอมพิวเตอร์ พี่ชายของเธอนั้นรักคีย์บอร์ดมากกว่าดาบไม้เคนโด้ และออกจากสำนักภายใน 2 ถัดมา อย่างไรก็ตามซูกูฮะไม่ได้เหมือนพี่ชายของเธอ เธอพบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอกับเคนโด้ และเริ่มเข้าใจในตัวดาบไม้หลังจากที่คุณตาของเธอได้เสียชีวิต
ตอนนี้เธออายุ 15 ปี ปีที่แล้วเธอก้าวไปไกลได้พอสมควรเธอสามารถเป็นแชมป์เปี้ยนอันดับ 1 ของมัธยมระดับประเทศ โดยตอนฤดูใบไม้ร่วงนั้นเธอถูกคัดเลือกโดยหนึ่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด
แต่ว่า--
ในอดีตนั้นเธอไม่เคยสูญเสียความตั้งใจที่เดินต่อไปข้างหน้า เธอชอบเคนโด้จริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นความคาดหวังต่างๆของคนรอบข้างของเธอนั้นมันทำให้เธอมีความสุข
แต่ว่าสองปีต่อมาพี่ชายของเธอได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์สะเทียนขวัญคนทั้งญี่ปุ่น ทำให้ภายในหัวใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย อาจกล่าวได้ว่าเธอเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ที่พี่ชายเธอเลิกเล่นเคนโด้ตอนที่เธออายุ 7 ขวบ ทำให้เกิดว่างระหว่างพวกเขา 2 คน เธอเสียใจเป็นอย่างมากและไม่เคยทำให้ช่องว่างนั้นใกล้ชิดขึ้นมาเลย
พี่ชายของเธอที่ทิ้งดาบเคนโด้ไปได้หมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ทุกวัน มันเป็นเป็นสิ่งที่ช่วยความกระหายของเขา เขาสร้างเครื่องจักรกลหลายๆอย่างขึ้นมาด้วยชิ้นส่วนต่างๆ และช่วยเลหือแม่ของเธอในเรื่องโปรแกรมตอนที่เขากำลังเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา สำหรับเธอนั้นสิ่งต่างๆที่เขาได้พูดคุยนั้นเหมือนพูดกันคนละภาษา
ที่โรงเรียนนั้นได้สอนหลักสูตรคอมพิวเตอร์ให้เธอนิดหน่อย และเธอก็มีคอมพิวเตอร์เล็กๆเครื่องหนึ่งอยู่ในห้องของเธอ แต่ด้วยความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ของเธอที่มีอยู่อย่างจำกัดเธอใช้เพียงแค่เพื่อรับ-ส่ง E-mail และท่องเว็บไซค์ต่างๆ มันยากที่จะเข้าใจในโลกส่วนตัวของพี่ชายเธอ โดยเฉพาะในเรื่องเกมออนไลน์แนว RPG ที่พี่ชายเธอติดมันเป็นอย่างมาก เธอค่อนข้างที่จะรู้สึกรังเกียจมัน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเธอได้ทำตัวแบบที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่เธอก็ได้พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าที่จะเข้าหาคนอื่นได้โดยใช้ตัวตนแบบปลอมๆ
นับตั้งแต่สมัยวัยเด็กนั้นเธอและพี่ชายของเธอได้แสดงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันทำให้พวกขเาเป็นเพื่อนสนิดที่ดีต่อกัน แต่พี่ชายของเธอก็ได้ไปอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ซูกูฉะก็ได้เล่นเคนโด้เหงาๆอยู่ตัวคนเดียวด้วยความบริสุทธิ์ใจ ระยะห่างของพวกเขายังคงขยายตัวขึ้นและการสนทนาในชีวิตประจำวันของพวกเขาก็แทบจะไม่มี กว่าซูกูฮะจะรู้สึกตัวความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนทั่วไปคนหนึ่ง
แต่ความจริงนั้นเธออยากจะบอกว่าเธอเหงา เธออยากจะคุยกับพี่ชายให้มากขึ้น เธออยากจะเข้าใจโลกของพี่ อยากให้พี่ชายของเธอมาและดูการแข่งขันของเธอ
อย่างไรก็ตามเธอได้แสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกไปตอนที่ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น
เหตุการณที่เหมือนกับฝันร้ายนี้ชื่อว่า "SWORD ART ONLINE" วัยรุ่นนับหมื่นคนจากทั่วญี่ปุ่นถูกกักขังโดยกรงอิเล็กทรอนิกส์และตกอยู่ในสภาวะหลับยาว
พี่ชายของเธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตไซตามะ จากนั้นครั้งแรกที่ซูกูฮะได้ไปเยี่ยมเขา...
ขณะที่เธอเห็นอาการโคม่าของพี่ชายเธอ เธอก็ได้รีบไปยังเตียงคนไข้ ที่เตียงนั้นมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด และถูกครอบหมวกที่แสนหน้ากลัว ทันใดนั้นน้ำตาของซูกูฮะก็ได้ไหลพรากออกมา มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่เธอได้ร้องไห้ เธอเกาะพี่ชายเธอเอาไว้แน่นๆแล้วร้องไห้ออกมาดังๆ
มันไม่เคยมีโอกาศที่จะได้แรกเปลี่ยนคำพูดใดกับเขา ทำไมเธอไม่พยายามที่จะรักษาระยะห่างของเขาและเธอให้น้อยกว่านี้? มันไม่ยากอะไรเลย มันเป็นไปได้ถ้าเธอคิดจะทำ
ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าเธอจะปฏิบัติโต้ตอบและแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเธออย่างไร แต่เธอก็ไม่พบคำตอบนั้น ตอนที่เธออายุ 14 และ 15 ปี ตอนที่เธอไม่มองเห็นพี่ชายของเธอ เธอได้เข้าโรงเรียน ม.ปลาย ตามคำแนะนำของคำแนะของคนอื่นๆรอบๆตัวเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอควรจะเดินต่อตามเส้นทางเดิมอย่างไม่ต้องสงสัยในหัวใจของเธอนั้นมันไม่มีความลังเลอยู่
ถ้าพี่ชายของเธอกลับมาแน่นอนว่าเธอจะคุยกับเขามากขึ้น เธอจะกำจัดความสับสน ความวิตกกังวลของเธอออกไป และบอกเขาตรงไปตรงมาตามความคิดของเธอ หลังจากนั้นผ่านไปสองเดือนซูกูฮะการตัดสินของเธอ ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นพี่ชายของเธอนั้นได้ทำลายโชคชะตาที่เลวร้ายด้วยพลังของตนเอง แล้วกลับมา
--ถึงจุดนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชายของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เธอได้ยินมาจากแม่ของเธอว่า ตัวตนที่แท้จริงของคาซือโตะนั้นไม่ใช่พี่แท้ๆเป็นเพียงแค่ญาติ
พ่อของเธอมิเนทากะเป็นลูกคนเดียว ส่วนแม่ของเธอมิโดริมีพี่สาวอยู่หนึ่งคนที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เธอไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อซูกูฮะรู้ว่าคาซือโตะเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวแม่ตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูบเสียบางสิ่งไปและเริ่มไม่แน่ความสัมพันธ์ของตนเองที่ควรรักษา พวกเขาควรจะไปไกลขึ้นเล็กน้อยรึเปล่า? พวกเขาควรที่จะเป็นแบบเดิม? เธอไม่มีรู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรในการแสดงความสัมพันธ์นี้
...ใช่ มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง...
ในขณะที่เธอคิดเรื่องทั้งหมดนี้ เธอได้ฟาดดาบไม้เคนโด้ลงอย่างรวดเร็ว เหมือนจะตัดความคิดของตัวเธอเอง มันน่ากลัวที่จะคิดลึกลงไปมากกว่านี้ จากนั้นเธอก็เริ่มฝึกเหวี่ยงดาบเคนโด้อีกอีกครั้งเพื่อไม่ให้ภายในหัวฟุ้งซ่าน เธอเธอเหวี่ยงครบตามจำนวนที่เธอต้องการแล้ว องศาของด้วยอาทิตย์ที่ขึ้นนั้นสูงกว่าจากเดิมจากตอนแรมานิดหน่อย แต่ก็สังเกตุเห็นได้ค่อนข้างชัดพอตัว เธอปาดเหงื่อที่หน้าผาก วางดาบไม้เคนโด้ลง และหันหลังกลับไปยังบ้านของเธอ
"เอ่อ..."
ในขณะที่เธอมองไปที่บ้านเธอก็หยุดการก้าวเท้าของเธอลง
เธอไม่ทราบว่าคาซือโตะที่สวมเสื้อยืดอยู่นั้นนั่งอยู่ตรงระเบียง และมองมาที่เธอ ขณะที่พวกเขาสบตากันเขาก็ได้พูดว่า
"อรุณสวัสดิ์"
ในขณะที่เขาพูดเขาก็ได้โยนขวดแร่น้ำเล็กๆในมือซ้ายของเขามาที่เธอ ซูกูฮะจับมันด้วยมือขวาก่อนที่เธอจะตอบสนอง
"อะ-อรุณสวัสดิ์... นี่ ถ้าพี่ดูหนูอยู่น่าจะพูดอะไรซักคำซิ"
"แต่ดูเหมือนเธอมุ่งเน้นการฝึกอย่างจริงจังน่ะซิ"
"ไม่จริง หนูก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอน่ะ"
ซูกูฮะเธอแอบมีความสุขจริงๆอยู่ในใจ ที่พวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติกับอีกคนเป็นเวลา 2 เดือนกว่า เธอเปลี่ยนจุดที่ยืนของเธอไปทางขวาของคาซือโตะ เยิบห่างจากเขาเล็กน้อยแล้วนั่งลง เธอวางดาบไม้เคนโด้ของเธอไว้ข้างๆ เธอปวดฝาขวดน้ำแล้วยกขวดขึ้นใส่ปากของเธอ น้ำที่เย็นทำให้อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนของเธอสดชื่นขึ้นมาก
"พี่เห็นเธอถือมันตลอดเวลาเลยนะ"
คาซือโตะหยิบดาบไม้เคนโด้ของซูกูฮะแล้วเหวี่ยงมันเบาๆด้วยมือข้างขวาของเขาในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่
"ค่อนข้างเบา..."
"หือ?"
ซูกูฮะนำปากออกจากขวดของเธอแล้วมองไปที่คาซือโตะ
"มันทำมาจากไม้ไผ่แท้ จึงค่อนข้างหนัก น้ำหนักประมาณ 50 กรัมซึ่งหนักกว่าดาบไม้ที่ทำจากคาร์บอน"
"อ่ะ อ่าฮ่า นั่น... มันเป็นสิ่งที่พี่รู้สึก... แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมัน..."
คาซือจิ๊กขวดน้ำจากมือซูกูฮะ แล้วรีบดื่มทั้งหมดที่เหลือ
"อ๋า..."
ใบหน้าของซูกูฮะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง และไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน เธอบุ้ยริมฝีปากเธอและบ่งบอกว่าไม่ได้มีความสุข
คาซือโตะวางขวดเปล่าที่ระเบียงและไม่ตอบ
"เฮ้ จะลองมาซ้อมกันไหม"
ซูกูฮะตะลึงแล้วมองไปที่หน้าของคาซือโตะ
"ในรูปแบบ... การแข่งขัน?"
"ใช่"
คาซือโตะพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความสนใจเกี่ยวกับเคนโด้ก็ตาม
"แล้วเครื่องป้องกันละ..."
"หืมมม มันก็โอเคนะถ้าเราไม่สวมใส่พวกมัน... แต่มันจะแย่มากถ้าซูกูฮะได้รับบาดเจ็บ พี่คิดว่เครื่องป้องกันของคุณตายังอยู่นะ ไปที่โรงฝึกกันเถอะ"
"โอ้ววว"
ซูกูฮะลืมความลังเลของเธอเมื่อไม่นานนี้ไปอย่างสิ้นเชิง และเธอก็สงสัยว่าทำไมจู่ๆเขาก็พูดสิ่งนั้นขึ้นมา เธอยิ้มแล้วพูดว่า
"พี่มั่นใจเหรอ? ที่พยายามจะแข่งกับคนที่สามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้? นอกจาก..."
การแสดงสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปแล้ว
"ร่างกายของเธอพร้อมใช่ไหม...? เธอไม่ควรที่จะประมาทนะ..."
"ฮิๆ หนูจะแสดงผลของการฝึกฝนทุกวันที่โรงยิมให้ดู"
คาซือโตะหัวเราะแล้วเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วซูกูฮะก็ตามไป
บ้านคิริกายะมีพื้นที่กว้างขวางมาก และมีโรงฝึกเคนโด้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของห้องแม่เธอ พวกเขาเดินตามรอยคุณตาและไม่ได้ทำลายมัน แล้วซูกูฮะก็ใช้มันในการฝึกฝนมันเป็นประจำทุกวันเนื่องจากมันมีอุปกรณ์ครบทุกอย่างที่สำหรับใช้เคนโด้
พวกเขาเข้ามาที่โรงฝึกด้วยเท้าเปล่า เริ่มโค้งคำนับและจากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวตามลำดับ โชคดีที่ร่างกายของคาซือโตะมีขนากเท่ากับตัวของคุณตา ชุดเกราะที่พวกเขานำออกมานั้นเป็นเพียงของเก่าๆ แต่พอดีกับตัวมาก พวกเขาผูกเชือกที่หมวกเสร็จพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองเดินมาที่ตรงกลางโรงฝึกแล้วโค้งคำนับพร้อมกันอีกครั้ง
ซููกูฮะค่อยๆยืนขึ้นจากตำแหน่งที่หมอบของเธอ เธอคว้าดาบไม้เคนโด้ที่เธอชื่นชอบจับอย่างแน่นหนา และทำท่าศูนย์กลาง(มันก็ยืนตัวตรงจับดาบเคนโด้ธรรมดานั่นแหละ) ในขณะเดียวกันคาซือโตะนั้น-
"นะ-นั่นมันอะไรค่ะพี่?"
เมื่อเห็นท่าทางที่คาซือโตะทำอยู่นั้น ซูกูฮะก็พูดโพร่งออกไปโดยไม่ต้องคิด แปลกเป็นวิธีเดียวที่จะอธิบายเกี่ยวกับมัน ท้าวของเขาออกข้างหน้าประมาณครึ่งตัวของเขา เอวของเขาลดต่ำลง ดาบไม้เคนโด้ที่อยู่บนมือขวาของของเขา ด้านปลายของมันต่ำลงจนเกือบถึงพื้น มือซ้ายของเขากูเหมือนกับว่าเขากำลังถือขวดสาเกอยู่
"ถ้าผู้ตัดสินอยู่ เขาคงจะโกรธแบบไร้เหตุผลนะ"
"ไม่เป็นไร นี่มันเป็นสไตล์การถือดาบของพี่"(มันคงจะชินการจับดาบคู่ตอนอยู่ SAO ละมั้ง)
ซูกูฮะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปรับท่าทางของเธอ คาซือโตะเพิ่มระยะห่างระเท้าทั้งสองและลดศูนย์กลางของมวล
ซูกูฮะคิวเกี่ยวกับการเตะเท้าออกไปด้วยแรงที่พอเหมาะที่พื้นมันจะมีประสิทธิภาพในการเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ท่าทางแปลกๆของคาซือโตะทำใหเธอไม่แน่ใจว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี แม้จะเป็นการเปิดตัว มันก็ไม่รู้สึกว่า มันจะง่ายที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ ด้วยท่าทางนั้นมันเหมือนกับคนที่ได้รับประสบการณ์มาหลายปี-
แต่มันเป็นไปไม่ได้ คาซือโตะจับดาบไม้เคนโด้มาเพียงแค่ 2 ปี คือช่วงที่เขาอายุ 7 และ 8 ปี ในช่วงนั้นเขาได้เรียนแค่ในระดับพื้นฐาน
ในขณะที่ซูกูฮะกำลังสังเกตุอย่างสับสนอยู่นั้น คาซือโตะก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาประทะในมุมต่ำราวกับว่าเขากำลังร่อนอยู่ และดาบไม้เคนโด้ของเขาก็พุ่งขึ้นมาจากด้านล่างขวา มันไม่ใช่แค่ระดับความเร็วของเขาเท่านั้นที่หน้าตกใจ การโจมตีอย่างกระทันหันของเขาก็ด้วยเช่นกัน ซูกูฮะพลิกเท้าหลบเพื่อโต้กลับ
"โคเตะ!" (ไม่ใช่วัวเตะนะครับพี่น้อง! แต่มันคือคำศัพท์เคนโด้ตอนที่จะโจมเครื่องป้องกันชนิดนั้นๆ)
ซูกูฮะเหวี่ยงดาบลงไปที่แขนซ้ายของคาซือโตะ มันควรจะเป็นช่วงที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอนั้นได้แค่ตัดอากาศ
มันไม่น่าเชื่อที่จะหลบได้ เขาเหวี่ยงมือซ้ายของเขามาที่หน้าอกตัวเองอย่างเน่นหนา มาเป็นไปได้ด้วยเหรอ? การเล็งที่เป้าหมายสร้างความตกใจให้กับเธอ ดาบไม้เคนโด้ที่คาซือโตะถือด้วยมือข้างขวาเพียงข้างเดียวถาโถมเข้ามา ตอนนี้เธอทำได้เพียงหลบอย่างลนลาน
เมื่อครั้งที่ทั้งสองสลับตำแหน่งไปรอบๆ เมื่อทั้งสองเจอหน้ากันพวกเขาก็จะรักษาระยะห่างอีกครั้ง สติของซูกูฮะได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความตึงเครียดเต็มไปบนทั่วร่างกายเธอ ราวกับว่าเลือดของเธอนั้นกำลังเดือด ในตอนนี้เธอโจมตีที่แขนตามความถนัดของเธอ-
แต่ทว่าคาซือโตะสามารถที่จะบ่ายเบี่ยงมันได้ เขาดึงแขนของเขากลับ บิดตัวของเขาเอง และดาบไม้เคนโด้ของซูกูฮะสไลด์ออกไปราวกับรูของกระดาษ ซูกูฮะตะลึงเป็นอย่างมาก เธอมีความเร็วที่สูงที่สุดในชมรม และเธอไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ที่จะมีใครบางคนสามารถที่จะหลบการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเธอได้
สถานะการณ์เริ่มตึงเครียดซูกูฮะเริ่มโจมตีรุนแรงมากขึ้น เธอบังคับปลายดาบไม้เคนโด้ให้เร็วกว่าหนึ่งลมหายใจของเธอ แต่คาซือโตะก็หลบและหลบ การเคลื่อไหวของดวงตาคาซือโตะเหมือนกับว่าได้อ่านการเคลื่อไหวของดาบไม้เคนโด้เธอได้อย่างสมบูรณ์
ซูกูฮะเริ่มหงุดหงิดเธอก็เริ่มปิดเส้นทางและล็อกเส้นทางของคาซือเอาไว้ ซูกูฮะได้ผ่านการฝึกอย่างดีเรื่องของขาและลำตัว คาซือก็เริ่มเจอกับความกดดันอย่างท่วมท้น ซูกูฮะไม่ยอมให้เขาหนีซูกูฮะก็ได้จบด้วยการฟาดลงไปที่หัวของเขา
"เม็ง!"(ฟาดลงเครื่องป้องกันที่หัว)
"แอ้ก" มันสายเกินไปที่ซูกูฮะจะรู้สึกตัว เธอไม่ได้ออมมือในการฟาดลงไป แถมยังกระแทกลงไปอย่างเต็มแรง ตรงที่หมวกเหล็กที่คาซือโตะใส่อยู่ดัง แปะ! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วโรงฝึก
คาซือโตะเดินโซซัดโซเซไปข้างข้างหลังไม่กี่ก้าวก่อนที่เขาจะหยุด
"โอเคไหมค่ะพี่!"
ซูกูฮะถามอย่างตกอกตกใจ คาซือโตะโบกมือซ้ายเบาๆเพื่อให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร
"...เอ่อพี่แพ้น่ะ มันใจได้เลยว่าซูกูแข็งแกร่งมาก ชนิดที่ว่าเอาไปเปรียบเทียบกับ Heathcliff ได้เลย"
"...พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ?..."
"ใช่ จบการแข่งขัน"
หลังจากที่คาซือโตะพูดเสร็จ เขาก็ถอยหลังกลับไปและทำท่าเคลื่อนไหวแปลกๆ เขาโบกดาบไม้เคนโด้ไปทางด้านซ้ายและขวา และสุดท้ายนำมันไปไว้ข้างหลัง มันทำให้เกิดเสียง ฟุบๆ ในอากาศ
มือของเขาอยู่บริเวณตรงหัว เธอเริ่มกังวลตรงตอนที่พี่ชายของเธอทำท่านี้
"อ่า หัวของพี่ถูกตี แล้ว..."
"มะ-ไม่ใช่นะ!! มะ-มันเป็นสันดานเก่าน่ะ..."
หลังจากนั้้นเขาก็โค้งคำนับให้กัน คาซือซือนั่งลงอย่างเป็นทางการและแก้เชือกที่อยู่ตรงหมวกกันน็อคเคนโด้ออก
พวกเขาออกจากโรงฝึกพร้อมกันเพื่อไปที่ห้องน้ำ และล้างเหงื่อออกจากใบหน้าของพวกเขา เธอตั้งใจว่าจะเล่นแบบเป็นรอบ เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องจริงจังกับมันมาก และทำให้ร่างกายเธอตื่นเต้นจนหมดแรงถึงขนาดนี้
"แต่หนูประหลาดใจจริง พี่ไปฝึกมาตอนไหนเหรอ?"
"เอ เรียกว่าฝึกในหัวดีกว่ามั้ง... ดูเหมือนว่าทักษะดาบจริง ไม่สามารถใช้ระบบช่วยเหลือจัดการได้"
อีกครั้งที่คาซือโตะบ่นพึมพำอะไรบางอย่างออกไปโดยเธอเธอไม่สามารถเข้าใจได้
"แต่มันสนุกจริงๆ พี่คิดว่าคงต้างกลับมาฝึกเคนโด้อีกครั้งแล้วละ..."
"จริงเหรอ!? พูดจริงนะ!?"
ซูกูฮะยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว และเธอก็เริ่มยืนยันในการตอบสนอง
"ซูกู เธอจะสอนพี่ไหม?"
"โอ้แน่นอน! เราจะฝึกด้วยกัน!"
"แต่พวกเราคงจะต้องรอกันไปก่อน รอจนกว่ากล้ามเนื้อพี่จะฟื้นฟูจนกลับเป็นเหมือนเดิมอ่ะนะ"
คาซือโตะพยักหน้าและซูกูฮะก็ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ ความคิดของเธอการที่พวกเธอจะได้ฝึกเคนโด้ด้วยกันอีกครั้ง เธอมีความสุขมากจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาจากดวงตาเธอ
"เฮ้... พี่ค่ะ... คือหนู..."
ถึงแม้ซูกูฮะจะไม่เข้าใจว่าทำไมคาซือโตะกลับมาสนใจเคนโด้อีกครั้ง เธอมีความสุขมากจริงๆ และต้องการบอกเขาในสิ่งใหม่ๆที่เธอสนใจ อย่างไรก็ตามเธอก็รีบเปลี่ยนความคิดและกลืนคำพูดที่เธอกำลังจะพูดออกมา
"หือ?"
"เอ่อ ไม่ล่ะไม่บอกดีกว่า"
"ทำไมละ!?"
หัวของทั้งสองคนเริ่มแห้ง และจากนั้นเขาก็กลับไปบ้านใหญ่ทางประตูด้านหลัง แม่ของเธอมิโดริมักจะออกไปทำงานตอนเช้าทุกครั้ง ดังนั้นซูกูฮะและคาซือโตะจะพลัดกันทำอาหารเช้าทุกครั้ง
"เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำนะ วันนี้พี่มีแผนจะทำอะไรรึเปล่า?"
"เอ่อ... วันนี้พี่...พี่จะไปโรงพยาบาล"
"..."
ซูกูฮะที่กำลังมีสปิริตสูงก็เงียบลง แล้วฟังคำพูดของเขาอย่างเงียบๆ
"หนูรู้ พี่กำลังจะไปเยี่ยมคนๆนั้น"
"เอ่อ... มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่จะทำได้ในตอนนี้"
คนๆนั้นคือคนที่สำคัญที่สุดของเขาในอีกโลกหนึ่ง เธอเคยได้ยินจากปากของเขาเมื่อเดือนก่อน ในตอนนั้นซูกูฮะอยู่ในห้องของคาซือโตะ ทั้งสองคนนั่งข้างกันและคาซือโตะถือถ้วยกาแฟมาดื่มในขณะที่เขากำลังอธิบายราบละเอียดให้ฟัง ซูกูฮะหลังจากที่ได้ฟังเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆหนึ่งสามารถตกหลุมรักในโลกเสมือนจริง แต่ในตอนนี้เธอสามารถที่จะเข้าใจได้ นอกจากนี้เมื่อคาซือโตะพูดโตะพูดถึงคนๆนั้น เขามักจะมีน้ำตาไหลออกมา
คาซือโตะกล่าวว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันจนถึงวินาทีสุดท้าย มันเขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองจะกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงพร้อมกัน แต่หลังจากที่คาซือโตะมีสติกลับคืนมา คนๆนั้นก็ยังคงหลับอยู่ในห้อง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น-- หรืออาจะจะมีบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้ และไม่มีใครสามารถหาคำตอบนี้ได้ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เมื่อเขามีเวลาคาซือโตะก็จะไปยืนเธอคนนั้นทุกๆ 3 วัน
เธอเห็นมันได้อย่างชัดเจน คาซือโตะนั่งอยู่ใกล้หน้าของเธอคนนั้นที่กำลังหลับไหลอยู่ กุมมือของเธอขึ้นมา เหมือนตอนที่ซูกูฮะกุมมือคาซือโตะตอนที่กำลังหลับไหลอยู่ แล้วเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทันทีที่เธอคิดถึงภาพนั้นหัวใจของก็รู้สึกเจ็บแปล็บอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก และการหายใจก็เริ่มยากขึ้นไม่เป็นจังหวะ เธอยืนกอดอกตัวเองแล่วนั่งลงตรงที่ๆเธออยู่
เธอต้องการให้คาซือโตะยิ้ม ตั้งที่ที่เขากลับมายังโลกแห่งนี้ เขาก็เริ่มเปิดใจตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาเริ่มที่จะพูดคุยกับซูกูฮะมากขึ้น เขามีความอ่อนโยนและไม่เคยเรียกร้องอะไร มันทำให้รู้สึกหวนกลับไปยังวัยเด็กของพวกเค้าอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงได้ตระหนักถึงคนๆนั้น คนที่ทำให้พี่ชายของเธอมีน้ำตาร่วงออกมา ถึงจุดนั้นเธอเริ่มยับยั้งใจตนเอง--
--แต่ฉัน ฉันรู้แล้ว...
เมื่อคาซือโตะปิดตาของเขาเพื่อที่จะนึกถึงเธอคนนั้น ซูกูฮะรู้สึกว่าเธอสามารถรักษาอาการเจ็บปวดของหัวใจตนเองได้ ราวกับว่าเธอพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเก็บความรู้สึกที่อึดอัดนี้เอาไว้
ขณะที่เธอมองคาซือโตะกำลังเทนมลงในแก้วบนโต๊ะ แล้วหยิบขึ้นมา ซูกูฮะกระซิบในใจของเธอว่า
--นี่พี่ค่ะฉัน ฉันรู้แล้วนะค่ะ
ความสัมพันธ์แบบแต่ก่อนนั้นไม่ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขาเป็นญาติกัน แม้แต่ซูกูฮะยังไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้จบลงเช่นนี้
แต่บางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยที่จะคิดจริงๆจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะนี้ความลับเล็กๆที่อยู่ในใจของเธอมันทำให้เธอหวั่นไหว
บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ว่าเธอชอบพี่ชายของเธอ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้มันก็อาจจะดีแล้วก็ได้
***
ตอนนี้สรุปย่อๆหน่อยนะครับลองไปดูในเมะเอาละกัน ตอนนี้ไอ้คาซือโตะมันกำลังถีบจักรยานไปโรงพยาบาล แล้วมันก็จะไปหาอาสุนะ เธออยู่โรงพยาบาลเดียวกับที่คาซือโตะเคยอยู่ จากตอนที่ 14 ในฉากสุดท้ายตอนที่คาซือโตะมันกำลังเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงออกจากห้องไป และมันก็ถูกพยาบาลเห็นแล้วนำมันกลับไปยังที่ห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว 10 นาทีต่อมามีผู้ชายใส่ชุดสูทคนหนึ่งวิ่งมาหาคาซือโตะ จ่ายเงินให้คาซือโตะแล้วอ้าปากค้างกลางอากาศ แล้วเขาก็บอกว่าเขาคือ «Ministry of Internal Affairs — SAO Countermeasures Division» ประมาณว่าเป็นองค์กรถูกตั้งขึ้นมาหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ติดอยู่ในเกมขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วไอ้องค์กรนี้มันพยายามจะแฮ็กระบเกมของ SAO ที่ถูกเขียนขึ้นโดย คายาบะ แต่ก็แฮ็กไม่สำเร็จ มันก็เลยพยายามหาวิธีใดๆก็ตามที่พอจะเป็นไปได้โดย สำรวจโปรไฟล์ผู้เล่นทุกคน พวกนี้ก็เลยรู้ความคืบหน้าผู้คนว่าทำอะไรกันอยู่ในเกม หลังที่คาซือโตะเครียร์เกมได้ผู้เล่นทุกคนสามารถ Log out ออกจาเกมได้ เจ้าพวกนั้นสามารถบอกข้อมูลทั้งหมดที่คาซือโตะอยากรู้ได้ แน่นอนว่าคาซือโตะอยากรู้ว่าอาซือนะเป็นไงมั่ง ไอ้ชายชุดดำนั่นก็บอกไปว่า ก็เหตุผิดปกติอะไรก็ไม่ทราบ เธอไม่สามารถกลับมายังโลกความเป็นจริงได้พร้อมกับคนอีก 300 คน คายาบะก็หายไปพร้อมกับ Plot เกม คาซือโตะก็ลอง Log in เข้าเกม SAO ดู แต่มันก็ขึ้นว่าเชื่อมต่อล้มเหลว จากนั้นมันก็ไปเยี่ยมซูกูฮะเกือบทุกวัน
จากนั้นมันก็เหมือนกับที่เราดูในตอนที่ 15 คาซือโตะ มันก็ทะเลาะกับไอ้ประจวดนั่น จานั้นก็กลับว่าโดนน้องสาวปลอบใจแล้วก็นอนด้วยกัน แต่มันเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยในนิยายเป็นความคิดของซูกูฮะว่า ในใจของเธอนั้นมีคาซือโตะอยู่แล้ว -.,-(ใครชอบสไตล์น้องสาว ภาค ALO นี่ล่ะใช่) จบสรุปเข้านิยายต่อ!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"อา. อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่" เธอบ่นพึมพำขณะลุกออกจากผ้าห่ม
หลังจากนั้นเธอก็มองมาที่ตัวผมด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว เมื่อกี้ดวงตาของเธอยังดูงูเงียอยู่อยู่เลย แต่ตอนนี้ดวงตาของเธอเบิดโพล่งขึ้นและแก้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
"อ๋า!เอิ่ม หนู..."
หูของเธอเริ่มแดง ตัวของเธอเริ่มแข็งทื่อ และทันใดนั้นเธอก็กระโดขึ้นออกจากเตียงแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
"จะไหวไหมเนี่ย..."
ผมส่ายหัวของผมแล้วเปิดหน้าต่าง เพื่อสูดอากาศเย็นและปลดปล่อยความเมื่อยล้าออกไป
«News» มีข้อความส่งมาหาผมก่อนที่ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ
มีเสียงเตือนจากข้อความดังขึ้น และผมก็ไปเปิด E-mail เพื่อเช็คดู ผมนั่งลงและเปิดเครื่อง EL
ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์มีโครงสร้างที่เปลี่นยแปลงไปหลายอย่าง ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อันเก่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย และถูกแทนที่ด้วย Solid Storage Drive (สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านคอมขออธิบายนิดนึงไอ้ Solid Storage Drive ถ้าตามความเป็นจริงในปัจจุบันของเราใช้สำหรับใน Server เป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครบ้าใช้ Solid Storage Drive หรอก พอดีมันแพงขี้แตกขี้แตนเลย) มันได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ และไม่ได้ผลิตพันธ์แบบ ultra-high volatile MRAM ซึ่งไม่มีอาการแลคในการรับส่งข้อมูล เมื่อกดปุ๊บก็ได้ปับ ถาดเข้า E-mail ได้มีการ Update ซึ่งผู้ส่งคือ « เอกีล»
ในชั้นที่ 50 ของกลางของ Aincrad เอกีลเป็นเจ้าของร้านค้าหนึ่งชื่อว่า Algade พวกเราเจอกันครั้งแรกในวันที่ 20 ที่โตเกียว และได้มีการขอแลก E-mail กันที่นั่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราใช้ในการส่งหากัน หัวข้อของข้อความคือ 'LOOK AT THIS' เมื่อผมเปิดขึ้นมามันก็ไม่ได้มีข้อความใดๆ มีเพียงแค่รูปภาพเพียงภาพเดียว
ผมเลื่อนลงไปและเปิดดูรูปภาพขึ้นหน้าจอ แล้วเริ่มดูภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างใกล้ชิด
ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง คุณจะได้เห็นลักษณะของสีและแสงที่มันไม่เหมือนโลกแห่งความจริง แต่เหมือนกับโลกที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น ในเบ้องหน้าที่เขาเห็นคือภาพที่มีกรงสีทองตั้งเรียงถี่ๆ พร้อมกับโตะสีขาว มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวนั่งอยู่ข้างใน ผมพยายามมองอย่างละเอียดที่ใบหน้าของตัวเธอ--
"อาสึนะ!"
ถึงภาพจะดูหยาบๆแต่ก็สามารถดูออกได้ว่าเป็นผู้หญิง ผมของเธอยาวและมีสีเกาลัด นั่นคืออาสึนะอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของเธอนั้นดูอ้างว้างและมือของเธอก็วางไว้อยู่บนโต๊ะ ถ้าสังเกตุดีๆก็จะเห็นปีกใสๆที่ยื่นออกมาจากข้างหลังเธอ
ผมรีบขว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ และผมก็รีบหาประวัติการโทรเข้าในมือถือ มันจะต้องมีการโทรเข้าภายในไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้แน่ๆ แต่รู้สึกว่าจะเป็นไม่กี่ชั่วโมงก่อนมากกว่า ในที่สุดก็เจอแล้วผมก็โทรออก จากนั้นก็มีเสียงทุ้มๆจากคนรับ
"Hello--"
"เฮ้!! บอกทั้งหมดที่รู้เกี่ยวภาพนี้มาเดี๋ยวนี้"
"นี่คิริโตะ อน่างน้อยๆก็รีบแนะนำตัวก่อนซิ"
"ฉันไม่มีเวลมากนะ!! รีบบอกฉันมาเร็วๆ!!"
"เรื่องมันยาวน่ะ นายสามารถมาหาฉันได้ไหมล่ะ"
"ได้เลย ฉันจะรีบไปทันที"
ตอบกลับไปอย่าไม่รีรอ ผมวางสายแล้วคว้าเสื้อมาเปลี่ยน ผมไม่ได้อาบน้ำเส้นผมของผมจึงแห้ง และใส่รองเท้าให้เร็วในที่สุดในชีวิต แล้วภายในเวลาไม่นานผมก็รีบขี่จักรยานมุ่งหน้าออกไป ถนนเส้นนี้ยาวมากแม้ตัวผมจะใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
คาเฟ่และบาร์ของเอกีลตั้งอยู่ในไทโตะ โอกาชิมาจิ ในไม่ช้าผมก็เห็นแผงสีดำและป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยลูกเต๋าเขียนไว้ว่า «Dicey Café»
ผมเปิดประตูเข้าไปและก็ได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งบนประตู ชายหัวล้านที่เคาน์เตอร์เงยมองมาที่ผมและหัวเราะ ที่นี่ไม่เห็นมีลูกค้าซักคนเลย
"โอ้ มาเร็วดีนี่"
"ธุรกิจยากจนเช่นเคย ธุรกิจเมื่อ 2 ปีก่อนอยู่รอดได้ไงเนี่ย?"
"แน่นอนในตอนนี้มันค่อนข้างที่ช้า แต่ในตอนกลางคืนนั้นมันคนละเรื่องกัน"
การสนทนาบนโลกแห่งความเป็นจริงมันทำให้ผมสงบขึ้นนิดหน่อย ตั้งแต่ที่ผมกลับมาที่โลกนี้
การพบป่ะของพวกเรามันเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนก่อน ผมได้รับชื่อจริงและที่อยู่ต่างๆของผู้เล่นจากสมาชิกของกระทรวงกิจการภายใน ไคลน์, นิชิดะ, ซิลิก้า และลิธซึเบธ, ฯลฯ แม้ว่าจะมีผู้เล่นหลายคนที่ผมอยากจจะเจออีกครั้ง แต่เมื่อพวกเขากลับสู่โลกแห่งความจริง มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะพอเจอกัน สถานที่แรกที่ผมมาเยี่ยมก็คือร้านแห่งนี้
"แล้วนายต้องการให้ฉันบอกอะไรนายเหรอ!?"
ใบหน้าของเจ้าของร้านนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขซักเท่าไหร่
ชื่อจริงของเขาคือ แอนดิวว์ กิวเบิร์ต มิวส์ ผมคิดว่ามันเหลือเชื่อมากที่เขาก็เปิดร้านขายของเช่นเดียวในโลกแห่งความเป็นจริง
แม้ว่าเขาจะเป็นลูกครึ่ง แอฟริกา-อเมริกา แต่ดูท่าพ่อแม่ของพวกเขาค่อนข้างจะชอบญี่ปุ่นมากกว่า และตอนที่เขาอายุ 25 ปี เขาก็เปิด Coffee Shop-Bar ขึ้นที่นี่ นอกจากในบรรดาลูกค้าของเขาแล้ว เขาได้พบกับผู้หญิงที่สวย และแสนดีคนหนึ่ง นั่นคือภรรยาของเขา หลังจากนั้นเขาก็ติดอยู่ในโลกของ SAO เป็นเวลาถึง 2 ปี หลังจากที่เขากลับมา ร้านที่เขาคาดว่าจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ก็ได้ปิดตัวลงเป็นเวลานานพอสมควร โดยภรรยาของเขาพยายามรักษามันไว้ มันเป็นเรื่องที่หน้าประทับใจมาก
จริงอยู่ที่เขาไม่ได้มีลูกข้ามากมาย ร้านนี้นั้นมีรูปร่างค่อนข้างกระทัดรัด มีเก้าอี้ 4 ตัวตั้งอยู่ข้างหน้าเคาน์เตอร์ เป็นสถานที่ที่มีสีสันสดใสทั้งหน้าสนใจและผ่อนคลาย
ผมนั่งบนเก้าอี้หนังสั่งกาแฟ และถามเอกิลเรื่องเกี่ยวกับภาพ
"ภาพนี้มันอะไรกันแน่?"
ผู้จัดการร้านไม่ได้ตอบในทันที แต่ผมก็เฝ้ามองเขาขณะที่เขานำกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้เคาว์เตอร์ขึ้นมา และเปิดให้ผมดู ผมหยิบมันขึ้นแล้วดูด้านขวาบนของมัน มันเขียนไว้ว่า «Amusphere»
"ฉันไม่เคยได้เห็น hardware ตัวนี้มาก่อน"
"«Amusphere» มันออกวางขายในระหว่างที่เราติดอยู่ในอีกโลก มันเป็นรุ่นต่อของเทคโนโลยี FullDrive ถัดจากเครื่อง Nerve Gear"
ขณะที่ผมมองโลโก้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ เอกีลก็ได้อธิบายอย่างง่ายๆ
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น Nerve Gear ก็ได้ถูกขนานนามใหม่ว่า 'เครื่องปีศาจ' และเพื่อไม่ให้ผู้ผลิตกล้าที่จะเกี่ยวข้องกับการผลิตเครื่องเกมแบบเทคโนโลยี Full Drive อย่างไรก็ตาม 6 เดือนถัดมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ถูกขังใน SAO ก็ได้มีบริษัทใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้สโลแกนว่า 'ความปลอดภัยที่แน่นอน' มันออกมาในรูปแบบของทายาท Nerve Gear และในขณะที่เราติดอยู่ใน Aincrad ในช่วงนั้นเราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
นั่นช่วยให้ผมเข้าใจขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่เพราะว่าพักนี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารกี่ยวกับเรื่องเกมเลย ผมก็เลยไม่ค่อยได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ชัดเจนเท่าไหร่
"แล้ว มันเป็นเกมแนว VRMMO เหมือนกัน?"
ผมถือไว้บนมือของผมและตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง มันเป็นภาพป่าลึกที่มีพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า ส่วนข้างหน้านั้นมีผู้หญิงสวมชุดเครื่องแบบแฟนตาซีอยู่ เธอถือดาบอยู่ในมือ โบยบินไปบนท้องฟ้าด้วยปีกโร่งใสของเธอ ข้างล่างภาพประกอบเกมนั้นมีชื่อว่า - «ALfheim Online»
"ALfheim...Online? มันหมายความว่าอะไร?"
"ความหมายก็ตรงตามตัวเลย มันหมายความว่า 'บ้านของเอลฟ์' "
"เอลฟ์? ฉันยังไม่ค่อยเครียร์เท่าไหร่แหะ เล่นแล้วเครียดไหม?"
"อะ-เอ้อ อาจจะมั้ง เท่าที่เคยได้ยินมา รู้สึกว่ามันค่อนข้างยากอ่ะนะ"
เอกีลวางถ้วยกาแฟไว้ข้างหน้าผมแล้วหัวเราะ ผมยกถ้วยแล้วก็เพลิดเพลินกันกลิ่นหอมของมัน แล้วก็ยังคงถามเขาต้อไป
"แล้วมันยากประมาณไหนล่ะ?"
"ระบบ Skill นั้นอยู่ในระดับ Extreme และเน้นเกี่ยวกับทักษะของผู้เล่น สนับสนุนระบบ PK"
"Extreme...?"
"«Levels» ไม่มีอยู่ในเกมนี้ ทักษะเท่านั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้ แถมยังเพิ่มได้ตลอดอีก ระบบต่อสู้ต้องอาศัยความสามารถของตัวผู้เล่นเอง แทนที่จะใช้ Skill ของดาบเหมือนกับ SAO แต่ไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดยิบๆย่อยอันขนาดนั้น ส่วนเรื่องภาพนั้นสวยเหมือนกับ SAO เลยล่ะ"
"อ่า เท่าที่ฟังดูน่าเล่นใช่ย่อยนี่"
ผมเริ่มเห็นภาพของมันแล้วล่ะ การสร้างเมือง Aincrad ลอยฟ้านั้น มาจากความพยายามอันบ้าคลั่งและความเป็นอัจฉริยะอย่าง อากิฮิโกะ คายาบะ ผู้ที่สร้างโลกเสมือนที่เทียบได้กับเขานั้น มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
"สนับสนุนระบบ PK?"
"ตอนที่สร้างตัวละคร ผู้เล่นสามารถเลือกเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายของ Fairy ได้ และการสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามนั้น ก็พอจะเป็นไปได้"
"ยากที่จะขำนะ ยิ่งใช้เทคโนโลยีในการสร้างสูงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนจะให้พวกคลั่งเกมซื้อเท่านั้น ฉันสงสัยว่าเกมนี้คงมากเป็นที่นิยมมากแน่ๆ" ผมพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
หลังจากที่เอกีลฟังคำพูดของผม เขากดลดความตึงเครียดของตนเองลงและยิ้ม
"ฉันก็เคยคิดเป็นนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ามันเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้คนในตอนนี้ มันมีสาเหตุหลักๆอยู่สาเหตุเดียวนั่นคือ นายสามารถความสามารถพิเศษได้นั่นก็คือระบบ «Fly»"
"บิน...?"
"ด้วยปีกแฟรี่ ที่แตกต่างจากเกมก่อนหน้านี้ มันใช้ระบบเดียวที่ใช้กับเครื่องบิน เลยสามารถทำให้ user สามารถบินได้อย่างอิสระ"
ผมไม่เคยมีความคิดที่จะบินมาก่อน หลังจากที่ Nerve Gear ได้รับการพัฒนา เกมที่เกี่ยวกับการบินเสมือนก็ได้รับการพัฒนาตามไปด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่การควบการยานพาหนะ การบินของมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นการยอมรับก็เพราะ มนุษย์นั้นไม่เคยมีประสบการณ์การบินด้วยตัวเองมาก่อน และไม่รู้จักการควบคุมการบิน
ในโลกจินตนาการเหล่านั้นผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถเช่นเดียวกับโลกแห่งความจริง ตรงกันข้ามถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นทำบางอย่างไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะทำไม่ได้ในโลกเสมือนเช่นกัน ปีกที่งอกออกมานั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ไอ้การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อนั้นพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
ใน SAO อาซึนะและผมมีความสามารถในการกระโดที่เหลือเชื่อมันเหมือนกับว่าพวกเราเรียนแบบการบิน แต่นี่มันเป็นการบินแบบอิสระ มันอยู่ในโลกที่แตกต่างกว่ามาก
"ไอ้แนวคิดการบินเนี่ยมันเหลือเชื่อมากอย่างอื่นก็เช่นกัน แต่มันต้องทำยังไงล่ะเนี่ย?"
"ใครจะไปรู้ล่ะ แต่มันคงจะลำบากจริงๆนั่นแหละ สำหรับมือใหม่นั้นนายสามารถที่จะควบคุมการใช้งานมันด้วย Joy Stick แบบมือข้างเดียว"
"..."
ผมเริ่มมีความต้องการที่จะเล่นเกมนี้ซะแล้วสิ แต่ผมต้องหยุดเรื่องนั้นไว้ก่อน และกลับไปนั่งจิบกาแฟของผมต่อ
"เอาล่ะ ฉันชักรู้สึกชอบเกมนี้ซะแล้วสิ กลับไปที่หัวข้อหลักกันก่อน อธิบายเกี่ยวกับภาพนี้มาหน่อยดิ"
เอกีลนำกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์มาวางไว้ข้างหน้าผม มันมีเพียงแค่รูปภาพ
"นายมองเห็นอะไร?"
หลังจากผมที่ได้ยินคำถาม ผมก็ลองสังเกตุภาพนี้ดีๆ ก่อนที่จะตอบ
"มันเมือนกับ... อาซึนะ..."
"ใช่นายก็คิดเหมือนฉัน นี่คือภาพ Screenshot ที่มีรายละเอียดค่อนข้างแย่"
"อธิบายมาเร็วๆหน่อยซิ"
"ภาพนี้ถูก Screenshot มากจากเกม ALfheim Online"
เอกีลนำภาพและรูปไว้ที่มือผม แล้วชี้ไปที่ภาพ Screenshot ตามภาพรวมของแผนที่นั้นมันอยู่บริเวณตรงกลางของต้นไม้ยักษ์
"นี่คือโลกแห่งต้นไม้ หรือจะเรียกว่า Yggdrasil ก็ได้"
เอกีลชี้ไปที่ต้นไม้
"เป้าหมายแรกของเขาคือจะเผ่าพันธุ์แรกที่สามารถขึ้นไปถึงจุดนี้ได้"
"พวกเขาไม่ได้รับอนุญาติให้บินขึ้นไปงั้นเหรอ?"
"ไม่ว่าพวกเขาจะมีความอดทนและความแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีลิมิต แค่บินขึ้นมาถึงจุดต่ำสุดของสาขานั้นก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ก็ยังมีคนวางกลุ่มมีไอเดียบ้าๆ กลุ่มๆนั้นประกอบไปด้วยกัน 5 คนสามารถที่จะบินขึ้นไปได้ เขาบินขึ้นไปอย่างกับจรวด ด้วยตัวของพวกเขาเอง"
"ฮ่าๆๆ ทำไมคิดยังงั้นล่ะ แม้ว่านายจะพูดว่าเป็นไอเดียที่บ้าบอก็เถอะ มันก็ค่อนข้างที่จะสร้างสรรค์เหมือนกันนะ"
"อ่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ กิ่งต้นไม้พวกนี้นั้นถือว่าอ่อนแอมาก และความสำเร็จของพวกเขานั้นได้เป็นที่ยอมรับ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาเลยถ่ายภาพพวกนี้ออกมา หนึ่งในพวกเขาพบกับกิ่งไม้สาขาใหญ่ ที่นั่นมีกรงอยู่"
"กรงนก..."
คำพูดผมพูดถึงพวกเขาที่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ได้ ผมเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน ติดอยู่ในกับดัก... ผมคิดในใจขึ้นมาทันที
"รูปภาพนี้ ถูกถ่ายโดยพวกเขา"
"แต่ทำไมอาซึนะถึงอยู่ที่นั่น?"
ผมหยิบเกมขึ้นมาดูอีกครั้ง
ผมโฟกัสไปที่ด้านล่างของกล่องมันพิมพ์ไว้ว่า «RECTO Progress»
"เป็นอะไรไปคิริโตะ? ทำไมนายถึงหน้าซีดล่ะ"
"ไม่มีอะไร... ไม่มีภาพอื่นๆอีกแล้วเหรอ? อย่างเช่น «คนอื่นๆใน SAO»นอกจากอาซือนะที่ยังไม่กลับมา?"
คำถามของผมทำให้ผู้จัดการร้านขมวดคิ้วและส่ายหัว
"ไม่มี ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลย แต่ภาพนี้จาก «ALfheim Online» ไม่สามารถที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพียงเพราะแค่นี้อย่าร้องไห้ล่ะพ่อหมาป่า"
"ใช่ ฉันรู้..."
ผมก้มหน้าลงนึกถึงสิ่งที่ชายคนนั้น -สึโกะ โนบูยูกิ- พูดกับผม
ผู้จัดการเซิฟเวอร์ SAO ก็คือเขา เขาเคยพูดไว้แบบนั้น ที่เขาต้องการจะสื่อก็คือเครื่อง Server นั้นก็เหมือนกล่องดำ ไม่สามารถที่จัดการโดยภายนอกได้ ในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ตามถ้าอาซึนะยังคงหลับต่อไปมันคงจะเป็นผลดีมากสำหรับเขา นอกจากนี้ผู้หญิงที่อยู่ในกรงที่โลกของ VRMMO ได้รับการออกแบบจากบริษัท RECTO แน่นอน ไม่มีทางที่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
ผมสามารถแจ้งเรื่องนี้ให้กับกระทรวงกิจการภายในได้ แต่ผมก็รีบเปลี่ยนความคิดของผม ความกังวลของผมมันคลุมเครือเกินไป และยังไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม
ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่เอกีล
"เอกีล ฉันขอยืมมันได้ไหม?"
"ไม่มีปัญหา... นายต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองใช่ไหม"
"ใช่ ฉันต้องการยืนยันด้วยตาคู่นี้ด้วยตนเอง"
เป็นครั้งแรกที่เอกีลที่เอกีลที่หน้าเหมือนจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แน่นอนพวกเราเข้าใจดีถึงอันตรายของโลกเสมือน
ผมยักไหล่และหัวเราะ
"ฉันคิดว่าถ้าฉันต้องการที่จะลอง คงจะต้องซื้อคอนโซลตัวใหม่ละทีนี้"
"Nerve Gear ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน AmuSphere เป็นเพียงรุ่นที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น"
"นั่นล่ะที่ดีจริงๆ"
ผมยักไหล่ เอกีลยิ้มเล็กน้อย
"เยี่ยม มันไม่ใช่ครั้งแรกที่นายช่วยคนที่ติดอยู่จิตใต้สำนึกของเธอเอง"
"มันไม่สำคัญว่ากี่ครั้งที่เธอติดอยู่ในนั้น และกี่ครั้งที่ฉันทำแบบนี้"
มันเป็นเช่นนี้ อาซึนะและผมไม่เคยติดต่อกันผ่านอื่นนอกจากอินเตอร์เน็ตของ Nerve Gear เสียงนั้นเสียงที่ผมอยากได้ยิน
แต่วันที่รอคอยเหล่านั้นจบลงไปแล้ว ผมดื่มกาแฟรวดเดียวหมด จากนั้นก็ยืนขึ้น เคาว์เตอร์ของเอกีลมีลักษณะค่อนข้างเก่าคล้ายกับร้านของเขาใน SAO ปราศจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ แต่ผมก็ชอบมันนะ ผมหยิบเงินขึ้นมาแล้ววางไว้บนเคาว์เตอร์
"ฉันคงต้องกลับตอนนี้แล้ว ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"
"ถ้านายต้องการข้อมูลนายสามารถติดต่อกับฉันผ่านรูปแบบอะไรก็ได้นะ นายต้องช่วยอาซึนะให้ได้นะ แล้วทุกสิ่งมันจะได้จบลงซักที"
"ถูกต้อง วันหนึ่งมันต้องจบลงไป"
ผมชกมือของผมด้วยกำปั้น แล้วเปิดประตูเดินออกไป
***
ซูกูฮะพลิกตัวไปมาบนเตียงของเธอ ปากของเธอบุ้ยอยู่บนหมอน และก็เตะเตียงของเธอภายในไม่กี่นาที
ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว แต่เธอก็ยังคงสวมชุดนอนอยู่ วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 20 มกราคม และเป็นปิดเทอมช่วงหน้าหนาว แต่ซูกูฮะในภาคเรียนที่ 3 ของ ม.3 ของเธอนั้น เธอสามารถไปโรงเรียนก็ได้ถ้าเธออยาก สำหรับเหตุผมนั้นคือเธอไม่อยากแสดงใบหน้าตอนนี้ของเธอให้คนในชมรมเคนโด้ได้เห็น
ตอนนี้หัวของเธอแทบจะระเบิด เธอได้แต่คิดทวนซ้ำไปซ้ำมา เมื่อคืน-เพื่อให้ความอบอุ่นให้คาซือโตะ เธอก็เลยนอนใต้ผ้าห่มเดียวกับเขา ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันมากหลังจากนั้นก็หลับด้วยกัน มันเพียงแค่ 10 วิ. ก่อนที่เธอจะนอนหลับ เพราะร่างกายที่อ่อนแอของเธอนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอกระวนกระวายอยู่ตอนนี้
"...ฉันมันโง่!โง่!โง่!" เธอกรีดร้องภายในใจของเธอและทุบหมอนไปเรื่อยๆด้วยกำปั้นของเธอ
อย่างน้อยๆฉันก็ควรที่จะตื่นก่อนเขาและออกไป แต่นี่เขาดันตื่นก่อน แล้วฉันจะมองหน้าเขายังไงละไงละทีนี้
ตอนนี้เธอรู้สึกอับอายและผสมกับความรู้ลำบากใจในเรื่องความรัก และความรู้สึกเหมือนโดนแทงเข้าที่หน้าอกมัรทำให้เธอหายใจลำบากขึ้น เธอปิดใบหน้าด้วยมือของเธอ แล้วตระหนักขึ้นทันทีว่าชุดของเธอนั้นยังคงติดกลิ่นของพี่ชายเธออยู่ เลยยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น
อย่างไรก็ตามเธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเธอไปเหวี่ยงดาบละก็มันคงจะดีขึ้นเอง ความมุ่งมั่นของเธอมุ่งไปที่เท้า ความกังวลใจของเธอนั้น เธอไม่มั่นใจว่าเธอจะใส่ชุดโดกิหรือใส่ชุดลำลองดี แต่เธอก็เปลี่ยนอย่างลวดเร็วแล้วไปโรงฝึกทันที
วันนี้คาซือโตะออกไปที่ไหนซักแห่ง - เธอไม่แน่ใจ และแม่ของเธอมิโดริต้องออกไปทำงานก่อนเที่ยง พ่อของเธอมิเนทากะไปที่อเมริกาหลังจากปีใหม่ ตอนนี้ซูกูฮะอยู่บ้านคนเดียว เธอลงไปยังชั้นแรกเธอคว้ามัฟฟินชีสเข้าปากของเธอ และยัดเข้าปากของเธอ แสดงกริยาไม่เหมือนกับสุภาพสตรี ขณะทีอีกมือหนึ่งขว้ากระป๋องน้ำส้ม ก่อนที่จะในนั่งลงภายในเวลาสั้นๆที่ห้องโถง
ในเวลาเดียวกันเธอก็กัดมัฟฟินคำใหญ่ คาซือโตะก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าห้องโถง เขาจอดจักรยานของเขาและจับจ้องมองเธอ
"Guu!" (ขออนุญาติใช้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะพิมพ์ กู ยาวๆยังไง)
ชิ้นส่วนของมัฟฟินได้หล่นไปติดอยู่ในลำคอของเธอ แล้วเธอก็ใช้มือของเธอคลำหากระป๋องน้ำส้มของเธอเพื่อที่จะดื่มมัน - แต่เธอหามันไม่เจอ
"อ๋า!Guu~~!"
"อู้อี้ อู้อี้"
คาซือโตะรีบวิ่งไปด้านข้างเธอ แล้วคว้าน้ำผลไม้และรีบเทใส่ปากของเธอ เธอดื่มมันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเธอก็สามารถกลืนมันได้ในที่สุด
"ฮ้า!ตาย... ครั้งนี้หนูคิดว่าหนูต้องตายแน่ๆ"
"ยัยผู้หญิงใจร้อน! เธอไม่รู้รึไงว่าเธอต้องกินคำเล็กๆและช้ากว่านี้?"
"งื้อ~"
เธออายมากและเธอก็ก้มมองไปที่เท้าของเธอ คาซือโตะลงไปนั่งข้างๆเธอ และก้มโน้มตัวลงแก้เชือกรองเท้าของเขา เธอมองไปที่คาซือโตะและกัดมัฟฟินของเธออีกครั้ง ในช่วงเวลาไม่นานคาซือโตะก็เอ่ยขึ้น
"นี่ ซูกู เกี่ยวกับเมื่อคืนก่อน..."
ซูกูฮะสำลักแล้วดื่มน้ำส้มไปอีกทีหนึ่ง
"คะ-ค่ะ?"
"ดังนั้น เอิ่ม ประมาณว่า...ขอบคุณนะ!"
"เอ๋!"
ซูกูฮะได้ยินคำที่ไม่คาดคิดแล้วจ้องไปที่คาซือโตะ
"ขอบคุณนี้ จิตใจของพี่ถูกฟื้นฟูเต็มเปี่ยม พี่จะไม่ยอมแพ้ พี่จะไปช่วยเธอคนนั้น แน่นอนว่าพี่จะพามาให้เธอได้พบ"
ซูกูฮะทนความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจเอาไว้ ยิ้มรับและตอบว่า "อื้ม! ทำให้ดีที่สุดนะ หนูอยากจะพบกับซูกูฮะ"
"ทั้งสองคนต้องได้พบกันแน่"
คาซือโตะนำมือวางไว้บนหัวซูกูฮะแล้วลุกขึ้นยืน
"งั้น แล้วเจอกันนะ"
หลังจากนั้นคาซือโตะก็รีบวิ่งขึ้นไปบนชั้น 2 และซูกูฮะก็มองเขาผ่านไป จากนั้นเธอก็กินมัฟฟินคำสุดท้าย
--ทำให้ดีที่สุด... ฉันทำมากเกินไปไหม...?
เธอเดินไปที่ลานกว้างบริเวณแอ่ง และเริ่มทำท่าซูบูริ(เหวี่ยงดาบเคนโด้ขึ้นลง) เธอจับดาบไม้ของเธอแล้วร่ายรำดาบ และร่างกายของเธอก็เริ่มอบอุ่นขึ้น
ในอดีตนั้นเธอเหวี่ยงดาบไม้ของเธอเพื่อชำระล้างจิตใจ แต่วันนี้มันแตกต่างกันออกไป สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอนั้น มันยากที่จะลบออก และตอนนี้เธอหยุดอยู่กับที่
--ฉันชอบพี่... แบบนี้มันดีแล้วเหรอ?
เมื่อคืนสิ่งที่เธอคิดนั้น เธอตดสินใจแล้วที่จะลุกขึ้น ในเข้าไปในจิตใจของพี่ชายก็มีเพียงคนๆนั้น ตอนนั้นเธอเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรักษาอาการเจ็บปวดนี้ได้
--แต่... บางทีแบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้
เธอรู้สึกขัดแย้งตัวเอง เธอไม่รู้ว่าทำไมในใจของเธอนั้นถึงได้มีคาซือโตะอยู่ อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอได้รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนแล้ว
เมื่อสองเดือนก่อนตอนนั้น แม่ของเธอได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาล
เอิ่มนอกจากนี้ขอสรุปนะ พอดีมันมีภาพนี้อยู่ในเมะตอนที่ 15 นะ มันตัดเอามารอมกัน ตอนที่คาซือโตะอยู่โรงพยาบาล แล้วมันฟื้นขึ้นมา มิโดริและซูกูฮะก็ได้ไปเยี่ยมไข้นั่นละ มันมีฉากนั้นอยู่ ไอ้ฉากย้อนอดีตในหัวของซูกูฮะอ่ะ พอคิดจบแล้วมันก็เหวี่ยงดาบต่อ เอาล่ะจบสรุป!
เธอยุติการเหวี่ยงดาบที่ว่างเปล่าของเธอ เธอวางดาบไม้ลงข้างๆต้นสน และหยิบผ้าขนหนูของเธอขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ในขณเดียวกันเธอก็เงยไปมองท้องฟ้ามองไปที่ก้อนเมฆ
***
ผมกลับไปที่ห้องของผมเปลี่ยนมือถือให้เป็นระบบสั่น ผมนั่งลงบนเตียงแล้วเปิดกระเป๋าเป้ของผม และหยิบแผ่นเกมที่เอกีลให้ผมมา
«ALfheim Online»
ผมไม่ค่อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมันมามากเท่าใด ดังนั้นผมก็เลยเปิดคู่มือเล่มเล็กๆดู แต่เดิมก่อนที่ผมจะเล่นเกม MMORPG ใดๆก็ตาม ผมต้องศึกษารายละเอียดของพวกมันผ่านบทความและนิตยสาร แต่คราวนี้ผมจะลังเลไม่ได้ ผมเปิดกล่องเกมแล้วนำ ROM(หน้าตาคล้ายแรม) ที่อยู่ข้างในออกมา ผมเสียบสายเราเตอร์ที่ Nerve Gear และแทรง ROM ลงในสล็อต หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีไฟแสดงสถานะก็หยุดกระพริบ แล้วก็ฉายค้าง
ผมนั่งอยู่บนเตียงและนำ Nerve Gear ถือไว้ในระดับสายตาผมด้วยมือทั้ง 2 ข้าง
Nerve Gear ของผมนั้นมีส่วนเสียหายเล็กน้อย และมีสีลอกอยู่เป็นบางจุด เป็นเวลานานถึง 2 ปีที่ผมถูกคุมขังอยู่ในนี้ พร้อมกับคนที่ผมชื่อใจ คนที่เคยที่อยู่ในอ้อมกอดของผม
--อีกครั้ง ได้โปรดใช้ฉันได้ยืมพลังอีกครั้งเถอะ
ผมคิดอยู่ในใจจากนั้นก็สวม Nerve Gear ที่หัว ทำตามขั้นตอนการเปิดเครื่อง และหลับตาลง
ความวิตกกังวลและความตื่นเต้นทำให้หัวใจของผมเต้นตึกตัก ผมพยายามชลอการเต้นของหัวใจลง แล้วพูดว่า "START LINK!"
แสงที่สะท้อนเปลือกตาของผมหายไป การเชื่อมต่อประสาทถูกเชื่อมต่อได้ถูกตัดลงไป และตอนนี้ดวงตาของผมเต็มไปด้วยความมืดมน
ทันทีที่สีสายรุ้งปรากฏ มันเริ่มก็ตัวขึ้นมาเป็นโลโก้ «Nerve Gear» วัตถุประวงค์ของการเกิดภาพนี้มีไว้เพื่อยืนยันการเชื่อมต่อเข้ากับเส้นประสาทในสมองของผม ในที่สุดข้อความข้างล่างก็ปรากฏขึ้นใต้โลโก้ว่า การเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์
ถัดมาก็เป็นการทดสอบเสียง เป็นการทดสอบเสียงในหลายๆรูปแบบ เสียงแรกคือเสียงของความวุ่นวาย ถัดมาคือเสียงที่ให้ความรู้สึกสวยงาม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงสนามรบ และสุดท้ายเป็นการผสานเสียง จากนั้นเสียงก็ค่อยๆลดลงจนหายไปในที่สุด ตอนนี้มันก็ขึ้นข้อความว่า การเชื่อมต่อประสาทหูเสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนแรกยังคงดำเนินต่อไป ในตอนนี้ความรู้สึกที่โลกข้างนอกเริ่มค่อยๆหายไป การเชื่อมต่อความรู้สึกต่างๆเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยบอกสิ่งที่เชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากเทคโนโลยี FULLDIVE ได้รับการปรับปรุงสิ่งแรกก็คือทำขั้นตอนให้มันสั้นลง และตอนนี้ก็เชื่อมต่อทั้งหมดเสร็จแล้ว (เออจริงจะยาวไปไหนวะเนี่ย!)
ข้อความการเชื่อมต่อล่าสุดได้ปรากฏออกมาที่เรียบร้อย และต่อมาผมก็ตกไปอยู่ในความมืดของข้างในของสายรุ้ง ไปสู่โลกเสมือน หลังจากมีเสียงสัญญานดังขึ้น ตอนนี้ผมก็ได้อยู่อีกแล้วหนึ่งแล้ว
--อย่างน้อย ถ้าพูดแบบนั้นคงจะเร็วไป ถัดจากความมืดมิดก็จะพบกับหน้าต่างลงทะเบียน โลโก้ของ ALfheim Online ค่อยๆปรากฏพร้อมกับเสียงผู้หญิงที่นุ่มนวล
ผมปฏิบัติตามคำแนะนำ ผมก็เริ่มสร้าง accout และตัวละครของผม ที่ด้านหน้าของหน้าอกผมตอนนี้ได้ปรากฏคีย์บอร์ดเสมือนใสๆขึ้น ผมใส่ ID และ Password ลงไปที่หน้าต่าง Login วิธีการของมันก็เหมือนกับตอนเข้า SAO นั้นแหละ ตั้งแต่เริ่ม Download เกม ผมต้องเลือกวิธีการชำระเงิน แต่ผมไม่ได้ซื้อเกมนี้ และได้เลือกทดลองใช้ฟรี 1 เดือน
ตรงชื่อตัวละครผมใส่ลงไปว่า «คิริโตะ»
มันย่อมาจากชื่อจริงของผม คิริ กายะ คาซือ โตะ และไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวกับกระทรวงกิจการภายใน เช่น ประธานบริษัท RECTO นั่นคือ ประธานยูกิ Zhouzou(ไม่รู้ว่ามันอ่านยังไงใครรู้ก็บอกที) และเจ้าซูโก แน่นอนว่าเอกีลกับอาซึนะที่ยังไม่ตื่นก็รู้เช่นกัน แต่ซูกูฮะและพ่อแม่ของพวกผมไม่ได้รู้เรื่องนี้
ในอุบัติเหตุของ SAO ข้อมูลต่างๆไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของชื่อตัวละคร เพราะในเกมนั้นมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันค่อนข้างบ่อยและผลก็คือ ผู้คนมักจจะตายอย่างสยดสยองในโลกจริง ถ้าข้อมูลพวกนี้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลออกไป มันอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากเกินกว่าจินตนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการฟ้องร้องทางกฎหมายหมาย มันจะมีคนฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก
โทษของคายาบะนั้นถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ไหน ทางญาติของผู้เสียชีวิตได้ฟ้องร้องบริษัท Argus จีงทำให้บริษัทล้มละลาย กล่าวก็คือบริษัท Argus ได้สนับสนุนโดยคายาบะเพียงคนเดียว เลยไม่สามารถการหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องได้
ผมค่อนข้างกังวลนิดหน่อยที่จะใช้ชื่อนี้เพราะ ซูโก โนบุยูกิ รู้ชื่อผม ผมก็เลยเปลี่ยนชื่อตัวอักษรเป็นรูปแบบคันนะแทน ส่วนเพศแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นเพศชาย
หลังจากนั้นก็มีเสียงบอกว่าให้สร้างลักษณะตัวละคร พวกเราสามารถที่จะเลือกลักษณะของตัวละครได้ มีระบบสุ่มเรียกลักษณะในส่วนนี้ทางระบบไม่สามารถอธิบายได้ว่าจะออกมาเป็นเช่นใด ผมไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เพราะมันจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมในการเปลี่นลักษณะตัวผมเอง อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม
เกมนี้ไม่แฟรี่ให้เลือกอยู่ 9 เผ่า แต่ละเผ่าจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ข้อดีและข้อเสียของมัน มันได้อธิบายก่อนจะเลือก Salamanders, Sylphs, Gnomes จะเป็นสายทั่วไปในเกมแยว RPG แต่ Cait Siths และ Leprechauns จะมีเพียงเป็นบางเกม
แต่ผมไม่ได้คิดจะเล่นเกมนี้อย่างจริง สำหรับผมจะเลือกอะไรก็ได้หมดละ ผมชอบอุปการณ์เริ่มต้นที่เป็นสีดำ ผมก็เลยเลือกเผ่า «Spriggan» และกด OK
หลังจากที่ตั้งค่าเริ่มต้นเสร็จแล้ว ก็มีเสียงดังออกมาว่า "โชคดี" ผมถูกส่งเข้าไปที่แสงวนๆอีกครั้ง เสียงนั้นบอกว่าผมได้อยู่ที่บ้านเกิดของเผ่า Spriggan ซึ่งเป็นจุด Start ของเกม ความรู้สึกของพื้นดินหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกว่าตัวลอย เหมือนกับว่าถูกส่งไปยังโลกใหม่ เครื่องหมายที่สว่างเริ่มเปลี่ยนแปลง โลกใหม่ค่อยๆโพล่ออกมา และเริ่มมีความลึก ผมกำลังตกลงสู่หมู่บ้านที่ห่างไกลจากความมืด
ผมห่างจากเครื่อง FullDrive เป็นเวลา 2 เดือน ตอนนี้ได้ใช้มันอีกครั้ง ตอนนี้ผมค่อยๆเดินไปที่ปราสาทที่อยู่ใจกลางเมือง
ขณะนั้น
ดวงตาของผมเริ่มถูกแช่แข็ง ข้อบกพร่องบางอย่างปรากฏขึ้นที่นี่และโพลีก่อนบางจุดเริ่มหายไป และมีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา มันอาจจะได้ยินทั่วโลก รายละเอียดทั้งหมดเริ่มต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเหมือนภาพโมเสก โลกเริ่มสลายตัวลง และทรุดตัวลงไปอย่างสิ้นเชิง
"กะ-เกิดอะไรขึ้น?"
ผมไม่ได้ยินแม้เสียงร้องของตนเอง - ผมเริ่มดิ่งลงไปอีกครั้ง ผมลงลึกลงไปในความมืดที่ไม่สิ้นสุด ผมตกลงมาข้างล่างอย่างต่อเนื่อง
"ฉันต้องทำอะไรบ้างเนี่ย!อ้ากกกกก!"
เสียงของผมกึกก้องไปทั่วความมืดก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆหายไป
ผมรออ่านอยู่ นะ boss-sama
ตอบลบ1 Boss-sama กำลังใจเพียบ แบบนี้ตเองปั่นซะแล้วซิ!!!
ตอบลบอย่า ดู เมะ ยาว จนลืม นะ
ตอบลบเดียวผมว่ามันจะเปลี่ยนเรื่องเป็น
ตอบลบ"น้องสาวผมไม่น่ารักขนาดนั้น "อิอิ
ให้กำลัง ใจต่อไป นะครับ ผมรอ GGO ครับ
ตอบลบ